ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/268265

‘สนามม้านางเลิ้ง’ โฉมใหม่สู่ ‘Community Hive’ ให้บริการมิติใหม่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์คนเมือง
กว่าศตวรรษที่ “ราชตฤณมัยสมาคม” หรือ “สนามม้านางเลิ้ง” ได้ก่อตั้งขึ้น ในปี พ.ศ.2459ด้วยพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 เนื่องจากทรงโปรดกีฬาม้าแข่ง และทรงเห็นว่ากีฬาม้าแข่งควรได้รับการส่งเสริมให้เป็นกีฬาของชาติดังเช่นนานาอารยประเทศ จึงพระราชทานที่ดิน “นางเลิ้ง” จัดสร้างสนามม้าไทย เพื่อเป็นสถานที่พัฒนาสายพันธุ์ม้าแข่งและเป็นสนามแข่งม้ากีฬาสุภาพบุรุษของไทย 100 ปีที่เปลี่ยนผ่าน วันนี้จะเป็นรอยต่อแห่งยุคสมัยที่จะก้าวเข้าสู่มิติใหม่ของรูปแบบบริการที่พร้อมแนะนำตัวเองในฐานะพื้นที่แห่งการขับเคลื่อนอย่างมีพลวัฒน์ ภายใต้โครงการ “คอมมูนิตี้ ไฮว์ฟ” (Community Hive)
เอกชัย ล้อเจริญวัฒนะชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายสื่อสารองค์กร โครงการคอมมูนิตี้ไฮว์ฟ เผยถึงที่มาของโครงการคอมมูนิตี้ ไฮว์ฟ ว่าเป็นโครงการที่เกิดจากความร่วมมือกันระหว่าง ราชตฤณมัยสมาคมฯ เจ้าของพื้นที่ ที่ต้องการปรับเปลี่ยนภาพของการแข่งม้าที่ถูกมองเป็น “การพนัน” มากกว่าจะเป็นกีฬา ทำให้คนมองการแข่งม้าและคนที่เข้าไปในสนามม้าในทางลบ กีฬาแข่งม้าจึงถูกมองว่าเป็นกีฬาสีเทาและอึมครึมตลอดมา การปรับโฉมครั้งนี้เพื่อให้ประชาชนทั่วไป ได้เข้าถึงงานบริการต่างๆ ของสนามม้านางเลิ้งมากขึ้น นอกจากนี้สนามม้ายังมีอายุเก่าแก่มาก โดยเฉพาะในส่วนของการบริการสปอร์ตคลับอื่นๆ ที่ยังไม่ทันสมัย จึงเตรียมพัฒนาสิ่งก่อสร้างต่างๆ ให้เกิดความสวยงาม และสามารถบริการให้แก่ภาคประชาชนโดยส่วนรวมให้มากที่สุด

“ราชตฤณมัยสมาคมได้ร่วมมือกับบริษัท บางกอก จ็อคกี้ คลับ จำกัด หรือ BJC โดยใช้เม็ดเงินเบื้องต้นกว่า 600 ล้านบาท ในการร่วมกันปรับโฉมให้สนามม้านางเลิ้งแห่งนี้ เป็นพื้นที่พักผ่อนของคนเมืองโดยมีเป้าหมายในการปรับเปลี่ยนรูปแบบบริการ นำเทคโนโลยีและความทันสมัยเข้ามาใช้ให้กับบริการ รวมถึงการออกแบบแลนด์สเคปให้เหมาะสมดูร่วมสมัยแต่ยังไม่ทิ้งกลิ่นอายความคลาสสิกของสถาปัตยกรรมกว่า 100 ปี โดยอยากให้มองภาพสนามแห่งนี้เหมือนสวนสาธารณะทั่วไปที่สามารถมาเดินเล่นมาพักผ่อนและเล่นกีฬาในพื้นที่ได้อย่างสะดวกสบายต่อไป”
ทั้งนี้ เอกชัย ได้ฉายภาพกว้างว่า จุดแข็งของราชตฤณมัยสมาคมมีเรื่องราวกว่าร้อยปีมีความร่วมสมัย มีระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานเพื่อรองรับการพัฒนาชุมชนแวดล้อม ที่สามารถเปิดกว้างให้ประชาชนทั่วไปสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ภายใต้โครงการ Community Hive ซึ่งสามารถรองรับทุกรูปแบบของกิจกรรมการพักผ่อนไลฟ์สไตล์คนเมือง ทั้งขี่ม้า เดินหรือวิ่ง ตีกอล์ฟ เทนนิส แบดมินตัน ว่ายนํ้า สปา หรือแม้แต่โปรแกรมพัฒนาเด็กออทิสติกส์ด้วย “ม้าบำบัด” ภายใต้มาตรฐานสากล ตลอดจนร้านอาหารดั้งเดิมที่จะยังคงความคลาสสิกในรสชาติ แต่จะเพิ่มความเรียบโก้ให้ดูสง่างามสมกับสถานที่ อีกทั้งจะเพิ่มในส่วนของภัตตาคารที่พร้อมเสิร์ฟเมนูฟิวชั่น โดยเชฟมิชลินสตาร์ เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ของผู้ใช้บริการที่ต้องการความร่วมสมัยยิ่งขึ้น โดยจะสามารถพร้อมให้บริการแบบเสร็จสมบูรณ์ภายใน 2 ปีนับจากนี้

ส่วนกิจกรรมที่ตอบโจทย์นั้น เอกชัย ยกตัวอย่างของตลาดนางเลิ้งที่มีความเก่าแก่คู่ขนานมากับสนามม้าแห่งนี้ว่า อาจมีเทศกาลของอร่อยตลาดนางเลิ้ง ภายในลานจัดกิจกรรมเพื่อให้เป็นอีกจุดพักผ่อนของคนเมือง หรืออาจมีเทศกาลดนตรี เทศกาลศิลปะ ตามวาระและโอกาสที่ภาคการศึกษา หรือภาคเอกชนอื่นๆ ติดต่อเข้ามาเพื่อใช้พื้นที่ในการจัดกิจกรรมเพื่อให้ ราชตฤณมัยสมาคม เป็นจุดหมายปลายทางสำหรับการท่องเที่ยวพักผ่อน และพื้นที่สร้างสรรค์กิจกรรมของชุมชนแบบ 360 องศา
“Community Hive จะเป็นการร่วมกันพัฒนาใน 4 ส่วนไปพร้อมกัน ส่วนแรกคือ Development ส่วนที่สองคือ Relaxation ส่วนที่สามคือ Social Connection และสุดท้ายคือ Economy โดยทั้งภาครัฐ เอกชน ภาคการศึกษา หรือแม้แต่ประชาสังคม สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนา ออกแบบกิจกรรม หรือใช้พื้นที่สำหรับการพักผ่อน เพื่อให้เกิด Social Connection ที่มีพลัง จนกระทั่งสามารถปันผลให้เกิดเป็นรายได้หรือ Economy ภาพใหญ่ได้”

สำหรับกลุ่มเป้าหมายสำคัญของการปรับเปลี่ยนครั้งนี้ คือกลุ่มคนเมืองรุ่นใหม่ที่ต้องการพื้นที่สำหรับการพักผ่อนส่วนตัวในอารมณ์ของความร่วมสมัยไม่ทิ้งความชิคและฮิป อยู่ใจกลางเมืองเดินทางไป-มาสะดวก ทั้งยังเป็นคนเมืองรุ่นใหม่ที่พร้อมรับไม้ต่อมรดกทางวัฒนธรรมที่ราชตฤณมัยสมาคม และพื้นที่ โดยรอบเพื่อสร้างเป็น Social Connection ที่เข้มแข็งกระทั่งเกิดเป็นภาพรวมของรายได้ที่ดีขึ้นภายใต้ตัวประกอบสุดท้ายของ Hive ซึ่งก็คือ Economy นั่นเอง
“ในวันนี้มีสมาชิกเข้ามาใช้บริการในสมาคมอยู่ ประมาณ 20% ภายหลังจากการเปิดตัวโปรเจกท์นี้และการลงพื้นที่ชุมชนเพื่อส่งต่อแนวคิดทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนและประชาสังคม ผมคาดหวังว่าอย่างน้อยจะมีผู้เข้ามาใช้บริการ Community Hive ทั้งหมด 50% ภายในสิ้นปีนี้ โดยพื้นที่สำหรับงานบริการทั้งหมดจะทยอยเปิดให้บริการเป็นลำดับ ส่วนการวัดผลโดยรวมของความสำเร็จโครงการนี้คงเป็นความสุขของคนในชุมชนพื้นที่โดยรอบที่เขาขายของได้ดีขึ้น มีนักท่องเที่ยวมากขึ้น รวมถึงการเข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบพิมพ์เขียวเพื่อการพัฒนาชุมชนของเขาในที่สุด” เอกชัยกล่าวปิดท้ายถึงเป้าหมายของการปรับเปลี่ยนครั้งสำคัญนี้
