ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/268424

‘เลี้ยงดูปูเสื่อ’ ธรรมเนียมเอื้อ‘ส่งเด็กค้ากาม’
ถือเป็นเรื่อง “ฉาว” อีกครั้งในสังคมไทยโดยเฉพาะแวดวง “คนใหญ่คนโต” ตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. 2560 ที่ผ่านมา เมื่อคุณแม่รายหนึ่งในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ถึงกับ “ช็อก” เมื่อเห็นภาพลูกสาวตัวเองไปอยู่ใน“คอลเลคชั่น” รายชื่อเด็กสาวที่ค้าบริการทางเพศ เมื่อสอบถามลูกสาวก็เล่าว่า ถูก “ข่มขู่” จากตำรวจนายหนึ่งให้ทำ และยิ่งสืบสาวราวเรื่องเท่าไร ก็พบว่า “ลูกค้า” ที่เคยซื้อบริการล้วนแต่เป็น “คนมีหน้ามีตา” มีตำแหน่งมีชื่อเสียงในพื้นที่ทั้งสิ้น ถึงขนาดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจผู้ทำคดีนี้ “เปรย” ออกมาว่า…
“หากผลสอบโยงไปถึงใคร อาจจะทำให้ระบบการทำงานราชการของแม่ฮ่องสอน ด้อยประสิทธิภาพลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากข้าราชการส่วนใหญ่แทบทุกหน่วยงาน เป็นคนที่ย้ายมาจากต่างถิ่นเมื่อเหงา ก็จะไปใช้บริการกับเด็กค้าประเวณี หากถูกจับกุม อาจจะทำให้การขับเคลื่อนงานของจังหวัดสะดุดได้”
และต้องยอมรับว่า..จ. แม่ฮ่องสอน เป็นเพียง “ยอดของภูเขาน้ำแข็ง” เพราะเอาเข้าจริงๆ แล้ว “มุมมืด” แบบนี้สังคมไทย “รับรู้” ว่ามีอยู่แทบทุกจังหวัด แต่ไม่ค่อยอยากจะพูดถึงมากนัก ไม่ว่าจะเป็นหน่วยงานภาครัฐหรือภาคเอกชน ดังที่ ดร.อภัสรินทร์ ขณะรัตน์ นักวิชาการอิสระที่ศึกษาปัญหาการค้าบริการทางเพศในสังคมไทย กล่าวในงานเสวนา “เด็กบริการทางเพศ กับวัฒนธรรมเลี้ยงดูปูเสื่อนาย : สังคมไทยรับได้จริงหรือ?” ณ อาคารสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เมื่อ 1 พ.ค. 2560 ว่า
บริษัทเอกชนหลายแห่ง มีการเลี้ยงดูผู้ที่ต้องติดต่อค้าขายทำธุรกิจในบางตำแหน่ง ด้วยการพาไปสถานบริการที่หมิ่นเหม่ล่อแหลม โดยจะรู้กันเป็นนัยว่า “ไปเที่ยวคราวนี้ผู้หญิงไปไม่ได้” หมายถึงมีเรื่องเพศเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งผู้ให้บริการจะมีทั้งผู้หญิงและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBT) แล้วแต่รสนิยมของแต่ละคน โดยมีการสืบค้นหาข้อมูลว่า “ใครชอบแบบไหน?” ทั้งนี้บางครั้งแม้ไม่ถึงขั้นร่วมประเวณี แต่ก็มีการสำเร็จความใคร่เกิดขึ้น
“การให้บริการทางเพศกับวัฒนธรรมเลี้ยงดูปูเสื่อไม่ได้เกิดขึ้นแต่ในระบบราชการ เอกชนจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องไม่ได้เพราะอยู่ในสังคมเดียวกัน มีไหม? เปลี่ยนมาบอกว่าองค์กรตนเองไม่ยอมรับวัฒนธรรมเลี้ยงดูปูเสื่อด้วยการใช้บริการทางเพศกับเด็กหรือแม้แต่กับผู้หญิง องค์กรไหนลุกขึ้นมาพูดแบบนี้มันจะทำให้สังคมยอมรับได้มากกว่าการออกไปแจกของด้วยซํ้าไป” ดร.อภัสรินทร์ เสนอแนะ
ดร.อภัสรินทร์ ยังยํ้าว่า สังคมไทยอย่ามองเรื่องค้ามนุษย์ “ไกลตัว” เพราะไม่ว่าใครก็อาจตกเป็นเหยื่อได้“ไม่เกี่ยงฐานะและระดับการศึกษา” อาทิ เคยเจอเด็กสาวรายหนึ่ง เป็นเด็กเรียนดี ถูกมอมเมาด้วยสารเสพติดแล้วถูกถ่ายคลิปขณะมีเพศสัมพันธ์ไว้เพื่อบังคับให้ไปขายบริการทางเพศ โดยขู่ว่าหากไม่ยอมจะเผยแพร่คลิปบนโลกออนไลน์ ซึ่งไม่ได้มีเพียงกรณีเดียว เช่น หลายกรณีผู้ถ่ายคลิปแล้วข่มขู่ดังกล่าวคือผู้ชายที่เป็นแฟน และไม่ได้มีแต่เด็กหรือเยาวชน แต่เคยพบแม้กระทั่งหญิงสาวที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาโท
เช่นเดียวกับ น.ส.ชาลีรัตน์ แสงสุวรรณ ผู้ประสานงานมูลนิธิพิทักษ์สตรี ที่กล่าวว่า ขณะนี้รูปแบบการค้ามนุษย์ในส่วนการค้าบริการทางเพศได้เปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการล่อลวงเด็กสาวด้วยค่านิยมบางอย่าง เช่น “ให้เงินไปทำศัลยกรรมจนเป็นหนี้” จึงต้องขายบริการเพื่อใช้หนี้ ซึ่งผลที่เกิดคือเด็กและเยาวชนดังกล่าวจะถูกสังคมมองในแง่ลบ นอกจากนี้ ยังมีการปกป้องกันระหว่างนายหน้าผู้จัดหา กับคนใหญ่คนโตที่ใช้บริการ โดยนายหน้าจะเก็บหลักฐานไว้ว่าใครใช้บริการบ้าง เพื่อให้ผู้ใช้บริการต้องคุ้มครองตนด้วยหากเกิดเรื่อง
“เคยมีจังหวัดหนึ่งที่ลงไปทำงาน มีผู้เกี่ยวข้องถึง 29 คน ไปเปิดห้องในอาบอบนวดสูงสุด 9 ห้อง เลี้ยงดูปูเสื่อกัน แล้วเจ้าของธุรกิจเขาก็ฉลาดพอกัน เขาจะจดไว้เลยว่ามีใครบ้าง ชื่อ นามสกุล ยศ ตำแหน่ง เวลามีเรื่องผู้ที่คุมพื้นที่จะต้องช่วยเขา ไม่เช่นนั้นรายชื่อของคุณจะหลุดออกไป ค่าใช้จ่ายก็ไม่ต้องจ่าย หรือบางทีก็มีคนใจดีออกให้ครึ่งหนึ่ง เจ้าของออกอีกครึ่ง มันก็เป็นวัฒนธรรมที่เข้าไปอยู่ในเรื่องผลประโยชน์ มีหลายหน่วยงานหลายกระทรวงเกี่ยวข้อง ฉะนั้นเวลาที่เกิดเหตุการณ์แบบนี้มันเลยมีการช่วยเหลือกัน” ผู้ประสานงานมูลนิธิพิทักษ์สตรี ระบุ
ด้าน นายจะเด็จ เชาวน์วิไล ผู้อำนวยการมูลนิธิหญิงชายก้าวไกล สะท้อน “รากเหง้า” ของปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ตราบใดที่วิธีคิดแบบ “ชายเป็นใหญ่” มองว่าการที่ผู้ชายรายใด“เจ้าชู้” สามารถมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงได้มาก ถือเป็นเรื่อง “เท่-โก้” โอ้อวดกันได้ในกลุ่ม “สังคมผู้ชาย” การซื้อและค้าบริการทางเพศก็ยากที่จะหมดไป ซึ่งค่านิยมนี้ “ฝังรากลึก” ในสังคมไทยมายาวนาน
นายจะเด็จ เล่าย้อนไปว่า สมัยเป็นวัยรุ่น ในกลุ่มเพื่อนผู้ชายด้วยกันเมื่อเห็นสาวสวย จะเกิดการ “ท้าทาย” กันเองว่า “ใครจะจีบได้?” มีการให้รางวัล เช่น สุรา 1 ลัง สำหรับผู้ชนะ หรือประเพณี “ขึ้นครู” ที่รุ่นพี่ผู้ชายจะพารุ่นน้องผู้ชายไปเที่ยวหญิงบริการทางเพศ หากใครไม่ไปจะถูกมองว่าแปลกและถูกดูหมิ่นดูแคลน สิ่งเหล่านี้ได้ติดตัวไปเมื่อหนุ่มๆ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ เข้าไปเป็นบุคคลระดับสูงโดยเฉพาะในสังคมราชการ นำมาสู่การเลี้ยงดูปูเสื่อด้วยการจัดหาหญิงบริการโดยเฉพาะที่เป็นเด็กและเยาวชนมาดูแล เมื่อมี “นาย” ย้ายมาใหม่ หรือย้ายมาตรวจงานดูงาน
“ระบบราชการก็มีปัญหาตรงที่ต้องสนองต่อนาย ส่วนใหญ่ก็เป็นนายผู้ชาย ย้ายมาใหม่ ย้ายไปที่นั่นมาที่นี่ก็จะมีการสนองเรื่องบริการทางเพศ เมื่อโตมาแบบนี้พอไปรับตำแหน่งที่ใหญ่โตมันก็ถูกทำแบบนี้อีก ผมเคยฟังนักการเมือง ฟังข้าราชการพูดว่าไปไหนไม่ต้องต้อนรับหรอก ทำตัวธรรมดาๆ แต่มันเป็นแค่วาทกรรม จริงๆ มันไม่ใช่ แล้วอีกวัฒนธรรมที่ต้องวิจารณ์คือการไม่ยอมรับผิด มันถูกปลูกฝังไปพร้อมกับการเลี้ยงดูปูเสื่อ ระบบพวกพ้อง เวลาถูกจับได้ก็จะเห็นการไม่ยอมรับผิด แล้วไปโทษคนเรียกร้องว่าเป็นผู้หญิงไม่ดี เคยมีปัญหา” นายจะเด็จ ให้ความเห็น
อีกด้านหนึ่ง…ด้วยความที่คดีลักษณะนี้มักเกี่ยวข้องกับคนใหญ่คนโต “ความปลอดภัย” ของผู้เสียหายและพยานจึงเป็นสิ่งสำคัญ ต้นเดือน เม.ย. 2560 ไม่กี่วันก่อนหน้าที่ “คดีแม่ฮ่องสอน” จะกลายเป็นข่าวดังไปทั่วประเทศ สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) จัดเสวนาเรื่อง “กระบวนการคุ้มครองสิทธิผู้เสียหายและพยานคดีค้ามนุษย์ที่เป็นหญิงและเด็กในประเทศไทย” เชิญผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายร่วมหารือ
ในเวทีนี้ นางสุกัญญา รัตนนาคินทร์ อัยการผู้เชี่ยวชาญ สำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีค้ามนุษย์ 2 กล่าวว่า เมื่อเหยื่อค้ามนุษย์ชี้ตัวผู้ซื้อบริการ “อันตรายจะเกิดขึ้นทันที” อาทิ ข้าราชการที่ไปซื้อบริการทางเพศ เมื่อเด็กจำได้ กระบวนการคุ้มครองเป็นเรื่องสำคัญมาก “ช้าเพียงวันเดียวอาจถึงแก่ชีวิต” เพราะเรื่องนี้หากถูกเปิดเผยออกไปจะเกี่ยวพันกับความผิดทั้งวินัยราชการและโทษทางอาญา
อัยการสุกัญญา ยกตัวอย่าง เช่น หากเด็กอยู่ที่อุบลราชธานี เขาก็จะอยู่ไม่ได้อีกแล้วเพราะไม่มีกระบวนการคุ้มครอง เนื่องจากบ้านพักเด็กของกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) มีเพียงอาหารและที่อยู่ให้เด็กเท่านั้น แต่การที่ตำรวจต้องตามคุ้มครองช่วยเหลือชีวิตเด็กไม่ให้เกิดปัญหา จะทำกันอย่างไร? หรือจะส่งไปอยู่ที่ จ.นครราชสีมา เด็กก็ไม่อยากไปอีกเพราะเขาต้องเรียนหนังสือ
“ตรงนี้มันก็เป็นปัญหาสำหรับพยานที่ต้องมายืนยันอะไรต่างๆ ถ้าอยากจะให้ผู้กระทำผิดที่อยู่เบื้องหลังถูกลงโทษจริงๆ ก็ต้องคุ้มครองพยานให้อบอุ่น ไม่ใช่ให้ไปอยู่ในที่แคบๆ แล้วเขาก็หนี พม. รายงานเราตลอดว่าเด็กปีนรั้วหนีไปเที่ยวกลางคืนแล้วเช้าก็กลับมานอน เราเข้าใจเพราะเด็กเขาก็เคยอยู่อย่างอิสระ” อัยการท่านนี้ ให้ความเห็น
ขณะที่ น.ส.สุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม ยกตัวอย่างบทเรียนกรณีสถานบริการชื่อดังใจกลาง กทม. แห่งหนึ่ง ที่ถูกเจ้าหน้าที่ตรวจค้นและพบเด็กสาวจากประเทศเพื่อนบ้านอายุไม่ถึง 18 ปีเข้ามาขายบริการทางเพศ สรุปได้ว่า ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง น่าจะมีการ “ซักซ้อม” ทำความเข้าใจให้ตรงกันว่าเมื่อเกิดเหตุขึ้น ใครจะต้องทำอะไรบ้าง เช่น การคุ้มครองพยานจะทำอย่างไร? การคัดแยกจะทำอย่างไร?
“ที่สำคัญ เรื่องที่ยุ่งยากในระดับนโยบายผู้บริหารควรจะไปเป็นผู้ปฏิบัติด้วย ท่านจะได้เกิดความเข้าใจ อย่าสั่ง เพราะถ้าท่านสั่งก็จะได้อาหารตามสั่งที่อาจจะไม่ได้รสชาติตามใจท่าน ถ้าท่านอยากได้งานที่เป็นประโยชน์และก่อให้เกิดแนวปฏิบัติที่ดี มันก็ต่างกันนะ พอเป็นหัวหน้าเรื่องเดียวกันใช้ดุลพินิจแบบนี้ พอเป็นผู้ปฏิบัติใช้อีกแบบ” น.ส.สุเพ็ญศรี ฝากทิ้งท้าย
ทั้งที่ประเทศไทยเพิ่ง “หลุด” จากการถูก “เพ่งเล็ง” ของนานาชาติว่ามีปัญหา “ค้ามนุษย์” รุนแรง หรือ Tier 3 ขึ้นมาเป็น Tier 2.5 หมาดๆ ไม่ถึงปี แต่ก็ต้องกลับมา “ฝันร้าย” กันอีกครั้ง หลังมีข่าวกรณี จ.แม่ฮ่องสอน เกิดขึ้น เพราะสุ่มเสี่ยงต่อการถูก “ลดชั้น” ได้อีกในอนาคต ซึ่งหากไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจังจากทุกภาคส่วน “ลด-ละ-เลิก” ค่านิยมเลี้ยงดูปูเสื่อด้วย“กามารมณ์” ก็เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะยังคงตาม…
“หลอกหลอน” สังคมไทยไปอีกนาน!!!