‘โสเภณีวัยใส’ ฝันร้ายหลอกหลอนสังคมไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/269067

‘โสเภณีวัยใส’ ฝันร้ายหลอกหลอนสังคมไทย

‘โสเภณีวัยใส’ ฝันร้ายหลอกหลอนสังคมไทย

วันจันทร์ ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เพิ่ง“ดีใจ” กันได้ไม่ถึงปี..หลังการ ทำงานหนักของทุกภาคส่วน เพื่อร่วมแก้ไขปัญหา “ค้ามนุษย์” โดยเฉพาะกรณี “แรงงานทาสบนเรือประมง” จนนานาชาติมองเห็นความตั้งใจจริง ทำให้ประเทศไทยได้รับการ “เลื่อนชั้น” จาก Tier 3ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดขึ้นมาเป็น Tier 2.5 (Tier 2WL) ก็ต้องกลับมา “เครียด” อีกครั้ง เมื่อปรากฏข่าวการค้าและซื้อบริการทางเพศ “โสเภณีเด็ก” หรือเด็กสาวที่อายุไม่ถึง 18 ปี ในพื้นที่ จ.แม่ฮ่องสอน ที่มีคนใหญ่คนโตเข้าไปเกี่ยวข้องจำนวนมาก ถึงขนาดที่บุคคลระดับผู้ว่าราชการจังหวัด ยังถูก “เด้ง” ออกนอกพื้นที่ไว้ก่อนเพื่อสอบสวน

และคดีนี้ยังถือเป็น “ฝันร้ายจากอดีต” ที่กลับมาหลอกหลอนสังคมไทยยุคปัจจุบัน เพราะโสเภณีเด็กในประเทศไทย เคยเป็นปัญหาใหญ่มากที่ถูกพูดถึงไปทั่วโลก ถึงขนาดถูกหยิบยกไปเขียนทั้งในนิยายและหนังสือการ์ตูนซูเปอร์ฮีโร่ดังอย่าง Batman ในปี 2538 (ค.ศ.1995) ชื่อตอนว่า “Batman : The Ultimate Evil” ให้มนุษย์ค้างคาว “อัศวินรัตติกาล” ตัวเอกของเรื่อง เดินทางไปปราบปรามขบวนการค้าโสเภณีเด็กในประเทศสมมุติแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ชื่อ “Udon Khai” ที่ใครดูก็รู้ว่าเป็นการผสมคำกันระหว่าง จ.อุดรธานี กับ จ.หนองคาย

เรื่องราวของโสเภณีเด็กที่เป็นข่าวใหญ่โต เกิดขึ้นครั้งก่อนหน้าเมื่อราวสิบกว่าปีที่แล้ว ที่ผู้ซื้อบริการเป็นถึง “วุฒิสมาชิก (สว.) คนดัง” หลังจากนั้นมันได้ค่อยๆ หายไปจากการรับรู้ของสังคมไทย กระทั่งกลับมาอีกครั้งกับล่าสุดที่ จ.แม่ฮ่องสอน ดังกล่าว และพบว่ายังคงมีกรณีแบบนี้อีกมาก และ “รูปแบบ” ได้เปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง

อาทิ เรื่องเล่าจาก ดร.อภัสรินทร์ ขณะรัตน์ นักวิชาการอิสระที่ศึกษาปัญหาการค้าบริการทางเพศในสังคมไทย ในเวทีเสวนา “เด็กบริการทางเพศ กับวัฒนธรรมเลี้ยงดูปูเสื่อนาย : สังคมไทยรับได้จริงหรือ?” เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า 1.อายุผู้หญิงที่ค้าบริการน้อยลงเรื่อยๆ จากเดิมที่พบได้บ่อยๆ เฉลี่ยขั้นต่ำจะอยู่ที่อายุ 18-19 ปี แต่ระยะ 4-5 ปี ล่าสุดมานี้ พบว่ามีที่อายุต่ำกว่า 18 ปี เพิ่ม มากขึ้น น้อยที่สุดที่พบคืออายุเพียง “12 ปี” เท่านั้น

2.การใช้กำลังบังคับลดหายไป กลายเป็นการใช้วัตถุหลอกล่อมากขึ้น เช่น กลุ่มเพื่อนกลุ่มหนึ่ง มี “หัวขบวน” ของกลุ่ม ซื้อโทรศัพท์มือถือราคาแพงแจกคนอื่นๆ ในกลุ่มที่ตัดสินใจเข้าไปค้าบริการด้วยกัน แล้วก็จะมีการ “ชักชวน” เช่นนี้ต่อไปยังคนอื่นๆ ไปเรื่อยๆ ว่าถ้าเข้ามาทำแล้ว ไม่ว่าโทรศัพท์มือถือแพงๆ เสื้อผ้าหรูๆ ก็จะได้ครอบครองทั้งนั้น รวมถึงมีเงินใช้ไม่ขาดมือ

3.ใช้ “ความสัมพันธ์-การยอมรับ” เป็นเงื่อนไข เช่น มีการคุยกันในกลุ่มเพื่อนข้างต้น ใช้คำพูดเชิงกดดัน อาทิ “ถ้าคุณทำคุณถึงจะเป็นเพื่อนฉัน” หรือกรณีของหนุ่ม-สาวที่เป็นแฟนกัน ฝ่ายชายอาจจะนำ “คำว่ารัก” มาข่มขู่ อาทิ บอกว่า “นอกจากมีอะไรกับฉันแล้ว ถ้าคุณรักฉันคุณต้องดูแลฉันได้” แล้วติดต่อกับผู้ต้องการซื้อบริการทางเพศเพื่อให้ฝ่ายหญิงไปขายบริการ

4.เป็นทั้ง “ผู้ค้า” และ “แม่เล้า” วัยเยาว์ เพราะไม่ต้องใช้ทุนมาก ทุกอย่าง “ง่าย” ไปหมดด้วยการใช้ “สื่อออนไลน์” ติดต่อระหว่างผู้ซื้อ คนกลาง และผู้ขาย เช่น วันนี้ A มีแขกมาซื้อบริการ แขกถามว่ามีเพื่อนที่ทำแบบเดียวกันอีกสัก 5 คนไหม? A ก็ติดต่อไปยัง B C D E F ที่ขายบริการเหมือนกัน วันต่อไป F มีแขกบ้าง แขกให้หาเพื่อนมาด้วยสัก 3 คน F ก็ติดต่อไปหา A B C เป็นต้น

5.รวยหรือจนก็ขายบริการได้ ในอดีตภาพของหญิงโสเภณีมักมากับ “ความเดือดร้อนทางการเงิน” อาทิ หญิงที่มีการศึกษาน้อยประกอบกับพ่อ-แม่มีลูกหลายคนแต่ฐานะไม่สู้ดีนัก อาจต้อง “เสียสละตนเอง” เพื่อให้คนอื่นๆ ในครอบครัวได้ไปต่อ แต่ระยะหลังๆ พบว่า แม้แต่เด็กสาวจากครอบครัวที่ไม่เดือดร้อนเรื่องเงินๆ ทองๆ ก็ยังมาขายบริการทางเพศ ซึ่งสาเหตุมาจากเพราะ “มีบ้านก็เหมือนไม่มี” ครอบครัวเปราะบางมีปัญหา อยู่แล้วไม่มีความสุข จึงต้องการ “การยอมรับ” จากบุคคลภายนอก เช่น กลุ่มเพื่อนหรือชายหนุ่มที่เป็นแฟน

“จริงๆ เรื่องพวกนี้ใกล้ตัวมาก แต่เราไม่เห็นมัน อย่างข่าวที่ออกมาเรามองว่าไกลตัว มันไม่ใช่ฉัน มันไม่มีทางหรอกที่ลูกฉันมีเงินมีทองแล้วจะไปทำอย่างนั้น จริงๆ มันไม่ไกลตัว แล้วไม่ได้เกิดแค่เด็กผู้หญิง ปรากฏว่ามีเด็กผู้ชายด้วย แล้วไม่ได้ไปจัดกันที่รีสอร์ท บางทีเป็นโรงแรม 5 ดาว เป็นบ้าน เป็นสปาสำหรับดูแลสุขภาพด้วยซ้ำไป เราพบเด็กที่ติดต่อกันทางเฟซบุ๊ค เขาเอาสถานที่พวกนั้นขึ้นไว้เลย คนที่อยู่ในทีมก็จะรู้ว่าอยู่ตรงนี้นะ” ดร.อภัสรินทร์ กล่าว

และเพราะการได้รับการยอมรับจากผู้อื่น เป็นสิ่งที่มนุษย์มัก “โหยหา” โดยเฉพาะจะ “มากเป็นพิเศษ” หากเป็นช่วงของ “วัยรุ่น” บ่อยครั้งได้ชักนำให้คนเรา “ดำดิ่งสู่ด้านมืด” ดังที่ ดร.อภัสรินทร์ เล่าต่อไปว่า เด็กสาวบางกลุ่มที่เคยพบ มีค่านิยมว่า “เป็นเด็กคนใหญ่คนโต..มันโก้มันเท่” สามารถนำไป “อวด” เวลาคุยกับเพื่อนๆ ได้ ซึ่งคนใหญ่คนโต ไม่ได้หมายความเฉพาะคนในแวดวงราชการเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง “พ่อค้า-นักธุรกิจ” ประเภทอาเสี่ยอาเฮียทั้งหลายที่ฐานะร่ำรวย และมีแม้กระทั่งคนประเภท “ขาใหญ่” นักเลงหัวไม้-อันธพาลในพื้นที่

“อย่างขาใหญ่ที่เพิ่งออกจากคุก ตรงนี้จะได้เห็นในกลุ่มเด็กอีกระดับหนึ่ง เช่น เด็กในสลัม ที่ยังมีขาใหญ่ในหมู่บ้าน ก็จะมีการบอกว่าฉันเป็นเด็กพี่คนนั้นนะ ฉันเป็นเด็กพี่คนนี้นะ ก็จะเจอลักษณะแบบนี้ ซึ่งมันก็จะนำไปสู่วงจรการค้าประเวณีด้วย บางทีเรามองว่ามันก็แค่เป็นเพื่อนกันหรือเป็นเด็กของคนนั้นคนนี้ ดูมีอำนาจ แต่ภายใต้สิ่งเหล่านั้นมันมีปัญหาที่ซ่อนอยู่มากมาย” นักวิชาการผู้นี้ ระบุ

จากเรื่องราวทั้งหมดนี้ หลายคนอาจจะมองว่า “เด็กมันใจแตกเอง” สมัครใจทำเอง “แล้วจะไปโทษใครได้?” แม้กระทั่งในคนที่ซื้อบริการก็อาจจะมองว่า “ฉันไม่ผิดเพราะเด็กสมยอม เด็กมาหาถึงที่” เรื่องนี้ ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชาย บ้านกาญจนาภิเษก ในฐานะที่เคยเป็นคนหนึ่งซึ่งร่วมติดตามคดีฉาว “สว.กินเด็ก” เมื่อสิบกว่าปีก่อนด้วย เล่าถึงเหตุการณ์ในเวลานั้นว่า

ผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนย้ำมาก “เด็กๆ ไม่ได้ถูกบังคับค้าประเวณี” แต่ละคนสมัครใจมาขายบริการเอง มาเปิดห้องในโรงแรมรอ สว. (สมาชิกวุฒิสภา) ท่านนั้นเองเสียด้วยซ้ำ ท่าน สว. ไม่ได้ไปบังคับให้มา ทำให้ตนได้ “ย้อนถาม” บรรดาผู้ใหญ่ที่ “ออกตัว” ปกป้อง สว. ผู้ก่อเรื่องฉาว กลับไปว่า

“ถ้าคุณเชื่อว่าการตัดสินใจเข้ามาสู่วงจรการค้าประเวณีของเด็ก เป็นการใช้ดุลยพินิจที่ถูกต้องชัดเจน คุณเชื่อเช่นนั้นใช่ไหม? งั้นคุณแก้กฎหมายให้หมดทุกฉบับเลย ให้เด็กเป็นนายกรัฐมนตรีได้ เป็นผู้นำองค์กรต่างๆ ได้ให้หมดเลย เพราะดุลยพินิจของเขาน่าเชื่อถือมากเลย ก็แก้สิ! แก้กฎหมายซะ! พอถึงแบบนี้เขาก็บอกว่า ไม่ได้! เขายังเป็นเด็ก ตกลงตรรกะของคุณมันเลือกปฏิบัติ ขนาดความคิดคุณยังเลือกปฏิบัติเลย ยังไม่ต้องพูดถึงการกระทำ”

ผอ.บ้านกาญจนาฯ ฝากทิ้งท้ายว่า หากผู้ใหญ่ยังมีชุดความคิดแบบนี้ แล้วเด็กๆ ที่ต้องเติบโตมาในสังคมที่ผู้ใหญ่ยังคิดเอาเปรียบ หาประโยชน์จากเด็กแบบนี้ “ด้านมืดของเด็กๆ จะแข็งแรงขนาดไหน?” จึงถือเป็น “หน้าที่” ที่ทุกคนต้องรับผิดชอบ ช่วยกันแก้ไขในเชิงระบบร่วมกัน

สำหรับประเทศไทย การมีเพศสัมพันธ์หรือกระทำอนาจารกับบุคคลผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปีถือว่า “มีความผิด” ในทุกกรณี “ไม่ว่าผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี นั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม” อาทิ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277, มาตรา 279, มาตรา 283 ทวิ หรือผู้ใดที่ทำตนเป็น “พ่อเล้า-แม่เล้า” จัดหาเด็กไปขายบริการทางเพศ จะมีความผิดตาม มาตรา 282, มาตรา 283 และหาก “มีรายได้” จากการจัดหานั้นด้วย จะมีความผิดตาม มาตรา 286 รวมถึงอาจเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ.2551 ด้วยอีกข้อหาหนึ่ง

ท้ายที่สุดแล้ว..แม้อาจเป็นความจริงที่ว่าการค้าบริการทางเพศคงไม่มีทางปราบให้หายไปหมดได้ไม่ว่าที่ใดในโลกใบนี้ แต่การที่ปล่อยให้มีผู้ค้าบริการที่เป็นเด็กและเยาวชน ก็เป็นสิ่งที่ประชาคมโลกไม่ยอมรับเช่นกัน ดังนั้นหากจะให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยดีขึ้น..

นี่ก็เป็นอีก “เรื่องใหญ่” ที่ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน!!!

Leave a comment