ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/267828

Star Retro : ‘เคน-วิสรรค์ ฉัตรรังสิกุล’ เคยคิดละทางโลก แต่จังหวะชีวิต จัดสรรให้เป็นดารา!!
จากความฝันของเด็กชายวัย 8 ขวบ ที่เหมือนจะริบหรี่ แต่แล้วโชคชะตาก็นำพาให้เขาได้เข้ามาสานฝัน จนที่สุดเขาได้ยึดสิ่งนี้เป็นอาชีพมากว่า 30 ปี แต่กว่าที่เส้นทางสายละครจะยาวนานและมั่นคง เขาต้องฟันฝ่ากับอะไรมาบ้าง วันนี้เราจะมาร่วมย้อนวันวานความสำเร็จไปกับนักแสดงมากฝีมือ “เคน-วิสรรค์ ฉัตรรังสิกุล”
“ช่วงนี้อาจจะรับงานแสดงน้อยลง คือถ้าย้อนกลับไปสู่อดีตสู่ความสุขในการเล่นละครจากครั้งหนึ่งเริ่มต้นด้วยการเล่นละครเวที เล่นละครทีวี. แล้วมันก็กลายเป็นอาชีพ แล้วพอเป็นอาชีพเราก็จำเป็นที่จะต้องรับชอบไม่ชอบ ดีไม่ดี ผมจะไม่ปฏิเสธ ตั้งหน้าตั้งตาเล่น แต่ ณ ปัจจุบันรู้สึกว่าเราไม่ได้มีอาชีพนี้อีกต่อไปแล้วเราเกษียณแล้ว เราก็รับเฉพาะคนที่รู้จักมักคุ้นกันมันค่อยๆ เริ่มมาเรื่อยๆ เมื่อ 3-4 ปีมานี่เอง คือจากที่เมื่อก่อนใครโทร.มาเรารับทั้งนั้น ถามว่ายังรักการแสดงอยู่ไหม คือยังรักเหมือนเดิม แต่ด้วยอายุอานามเราปีนี้ก็69 แล้ว”
ย้อนวันวานกว่าจะมาถึงวันนี้ ?
ผมเข้าวงการมาตอนที่อายุมากแล้วด้วยนะ คือเมื่อปี 2530 จำแม่นเลย เริ่มงานแสดงกับ สองแปดการละครจากการเล่นละครเวที แต่ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวแล้วผมเป็นคนที่รักงานแสดงมาตั้งแต่เด็ก ชอบและรักการแสดง แต่ว่าไม่เคยมีโอกาสได้เล่น อยากเล่นละครตั้งแต่ตอน 8 ขวบ แต่ว่าเพิ่งมีโอกาสได้เล่นตอนอายุ 38คือด้วยคนสมัยก่อนเราต้องเข้าใจนะว่าถ้าเผื่อเราไม่มีญาติโยมอยู่ในวงการละคร เราไม่มีทางหรอก เราก็ได้แต่ดูละครในทีวี. ได้แต่เก็บความฝันนั้นไว้ แล้วก็ได้แต่อหังการในใจว่าทำไมเด็กสมัยก่อน มันเล่นละครกันไม่เป็นเลย ถ้าเป็นเรานะเราจะต้องเล่นแบบนี้ๆ พอเราพูดไปก็โดนคนว่า “เออเอ็งน่ะเก่ง เล่นจริง เล่นได้เหรอ”คนจะเหยียดมากกว่าส่งเสริม

จากวิกฤติสู่โอกาสที่รอคอย ?
จนกระทั่งอายุ 38 บอกได้เลยว่าชีวิตมันผันแปรคือตอนนั้นผมทำงานรับเหมาประมูลงานราชการตอนที่เราประมูลเหรียญนึงมัน 25 บาท แต่ว่าหลังประมูลเสร็จจะส่งของ เหรียญนึง 50 บาท ก็เข้าตัวด้วยความโง่เราไม่ยอมเจ๊ง พยายามเคลียร์หนี้จบทุกอย่างในชีวิตหนี้เกลี้ยงหมด เหลือบ้านอยู่หลังเดียว ตั้งใจว่าจะขายบ้านเก็บเงินไว้ก้อนนึง แล้วไปบวช เหมือนว่าแพ้กับชีวิตจะละทางโลกบวชตลอดชีวิต แต่ปรากฏว่ามันก็มีเหตุเป็นไปทำให้ไม่ได้บวช มันเป็นช่วงเข้าพรรษาออกพรรษาแล้วเราก็ไปเจอประกาศในหนังสือพิมพ์ว่ารับสมัครชายวัยกลางคนที่ไม่มีประสบการณ์เล่นละครเวที (ตาวาว) ถ้าเขาบอกว่าเอาประสบการณ์ เราก็คงจะไม่มีสิทธิ์ แต่พอเขาบอกว่าต้องการคนที่ไม่มีประสบการณ์ แล้วชายวัยกลางคนด้วย ผมนี่แหละ ก็เดินทางไปเลยที่สถาบันเกอเธ่ ถนนพระอาทิตย์ เขาให้ไปซ้อมและคัดตัวที่นั่น ด้วยความโชคดีที่ประตูมันเป็นประตูทึบ แต่เปิดเข้าไปตกใจเลย คนเยอะมาก ทุกคนหันมามองเรา ถ้าเผื่อว่าตรงนั้นเป็นกระจกใสชีวิตผมไม่ได้มาอยู่ตรงนี้แน่ เราคงไม่กล้าที่จะไปแข่งกับใครเขาหรอก แต่เมื่อเราเข้าไปแล้วเราก็ถอยไม่ได้ ทั้งห้องมีแต่เด็ก ชายวัยกลางคนอย่างที่เขาต้องการรู้สึกว่าจะมีอยู่อีก 2 คนเองมั้ง แล้วหลังจากนั้นเขาก็เอาบทมาให้อ่าน เราก็รับมา พอถึงเวลาไปลองเล่น เราก็ไม่กล้ามองหน้าใครเลย และอาศัยที่เราชอบเล่นชอบแสดงใช้เสียงบ้างอะไรบ้าง เราก็อ่านบทไปพออ่านเสร็จปุ๊บ “คุณรัศมี เผ่าเหลืองทอง” ก็บอกว่า “น่าสนใจมากค่ะ ยังไงเราจะติดต่อไปนะคะ”เราก็แอบหวังนิดๆ ว่าเขาจะติดต่อกลับมา เราคิดว่าตอนอ่านบทเราก็ทำได้ดีพอสมควร อีกอย่างคือคุณสมบัติเราก็ค่อนข้างตรงกับที่เขาต้องการ เราน่าจะเข้ารอบบ้างล่ะ
เมื่อความฝันที่รอคอยนั้นมาถึง ?
ประมาณ 4-5 วัน เขาก็ติดต่อกลับมา และนัดเจอที่เกอเธ่ ความรู้สึกตอนนั้นคือดีใจมาก เราไม่ได้บอกใคร คือมีพี่สาวรู้แค่คนเดียว เพราะว่าเราให้เบอร์โทรศัพท์บ้านพี่สาวไว้ หลังจากนั้นก็ไปซ้อม เขาก็ลองให้เล่นดู เล่นสองบทสามฉาก ซ้อมอยู่หกเดือน ซ้อมทุกวันตั้งแต่สิบโมงเช้ายันเย็น เพื่อที่จะขึ้นสามฉาก กับละครเวทีเรื่องกาลิเลโอ บทเราคืออกมาไม่เยอะแต่ว่าก็มีความสำคัญพอสมควร ซึ่งมีอยู่ฉากนึงที่เราต้องโดนกดดันโดนเกลี้ยกล่อม แค่ฉากนั้นเรายืนฟังเฉยๆ ไม่ได้พูดอะไรเลยนะ ซ้อมเฉพาะเราอยู่เป็นเดือนๆ เพราะว่าเขาต้องการสื่ออารมณ์ให้ได้ว่าเราโดนกดดันเราโดนบีบ แล้วเชื่อไหมว่าฉากที่ไม่ได้พูดเนี่ย เล่นไม่ผ่าน เขาก็เลยจับเราแยกซ้อม จับไปมัดให้แน่นเลย และให้เราจำความรู้สึกที่โดนมัดเอาไว้ ว่ามันคือความรู้สึกเดียวกันกับที่เราโดนบีบคั้น พอเราซ้อมจนเราเข้าใจและเล่นจนกระทั่งจบโปรดักชั่น ไปเล่นต่างจังหวัดเชียงใหม่ ขอนแก่น ด้วยเป็นปีเลย หนึ่งปีที่ผมอยู่กับละครเวที เรื่องกาลิเลโอ ไม่ได้ทำมาหากินอะไรเลย ซึ่งถ้าเป็นชีวิตปัจจุบันมันคงทำไม่ได้หรอก แต่เพราะจังหวะชีวิตที่จัดสรรให้เรา แล้วพอละครเวทีจบมันก็เลยหน้าบวชไปแล้ว
เสียงชื่นชมจากงานแรก ?
หนึ่งปีที่ได้อยู่ตรงนั้นเราชอบนะ แต่ก็คิดว่าคงจะเป็นโอกาสสุดท้ายในชีวิตเรา เรามีโอกาสแค่นั้น เล่นละครเวทีเราเล่นด้วยความสุข พอเล่นเสร็จเขาก็สลายตัวเขาไม่ทำอีกแล้ว เราก็เลยคิดว่าคงไม่มีใครมาชวนเราไปเล่นอีกมั้ง แต่ว่ากำลังใจอย่างหนึ่งก็คือ วันสุดท้ายที่จบโปรดักชั่นมีกินเลี้ยงกัน “คุณหง่าว” (ยุทธนา มุกดาสนิท)ซึ่งเป็นที่ปรึกษาในโปรดักชั่นนั้นเขาได้พูดว่าประทับใจหลายอย่าง และที่ประทับใจเขามากที่สุดก็คือผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วเขาก็ชี้มาก็ที่ผม เขาบอกว่าเป็นคนที่มาจากไหนก็ไม่รู้ ไม่เคยรู้เรื่องเกี่ยวกับการละครเลย แล้วเข้าสู่วัยโรยราแล้ว อยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมาเล่นละครได้อย่างวิเศษ นอกจากคุณหง่าวแล้ว “หม่อมน้อย” (หม่อมหลวงพันธุ์เทวนพ เทวกุล) ก็ประทับใจในตัวเรา คือหม่อมน้อยถามคุณหง่าวว่าเราคือใคร คุณหง่าวก็ตอบว่าคนทางบ้านมาสมัคร แต่หม่อมน้อยไม่เชื่อคิดว่าผมจบวิชาการมาจากเมืองนอก
ละครเวทีเรื่องกาลิเลโอถือว่าประสบความสำเร็จมากในยุคนั้น หลังจากนั้นผมก็มีโอกาสได้เล่นละครเวทีมาเรื่อยๆ ประมาณสิบกว่าเรื่องเป็นโปรดักชั่นที่ใหญ่บ้างเล็กบ้าง แล้วยุคนั้นถือเป็นยุคทองของละครเวที อย่างเรื่องลูกคุณหลวงก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ดังและประสบความสำเร็จมาก เราเองถือว่าโชคดีที่มีโอกาสได้ร่วมในโปรดักชั่นดีๆ ละครเขาดังเราก็เลยพลอยมีชื่อเสียงไปด้วย

ก้าวสู่แวดวงละครโทรทัศน์?
ความรู้สึกของผมที่ได้เล่นโปรดักชั่นนี้ มันเหมือนว่า “มาเจอไม้งามเมื่อยามขวานบิ่น” หมายความว่ามาเจอโอกาสดีเมื่อเราหมดโอกาสแล้ว นี่คือสิ่งที่ผมรักที่สุดและได้ทำซึ่งคิดไม่ผิด แต่ว่าวัยเราร่วงโรยแล้ว ถ้าเรามาเจอตอนหนุ่มกว่านี้ก็คงจะดี แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือนทางเจเอสแอลก็เปิดแคสติ้งเรื่องเทวดาตกสวรรค์เป็นละครทีวี. และเขาต้องการเอาคนใหม่ๆ รุ่นน้องที่เล่นละครเวทีด้วยกันเขาได้ข่าวก็เอามาบอกเราชักชวนกันไป ครั้งนี้รู้สึกสบายใจได้ไม่ได้ไม่เป็นไรก็เลยไปลองเล่นดูปรากฏว่าก็ไปถูกใจ “คุณจิก” (ประภาส ชลศรานนท์) คาแร็กเตอร์ของเราคือเป็นวัยกลางคนที่ยังไม่มีครอบครัวอยู่บ้านคนเดียวมีหนังสือเป็นเพื่อน มองทุกอย่างเป็นความถูกต้องมีคุณธรรมซึ่งตอนนั้นผมอยู่คนเดียว เรียกว่าคาแร็กเตอร์คล้ายกับเรา เป็นละครที่ดังมากในยุคนั้นประสบความสำเร็จและแจ้งเกิดผมเลยด้วยวัย 39 เกือบจะ 40 หลังจากนั้นก็มีงานละครอื่นเข้ามาเรื่อยๆ
จากที่คิดเสมอว่าคงไม่มีโอกาสทางการแสดงอีกแล้ว ?
ก็ยังคิดอยู่นะว่าเดี๋ยวงานก็คงจะหมดไป แต่ที่ไหนได้ก็เล่นมาจน 30 ปี ส่วนหนึ่งตอนนั้นอาจจะเป็นเพราะว่าเราเข้ามาใหม่แล้วค่าตัวถูกเราเล่นได้หมด เล่นเป็นพ่อหนุ่มพ่อแก่ เป็นพี่ชายของพระเอกนางเอก คนจนคนรวยก็ได้ เป็นคาแร็กเตอร์กลมๆ เป็นตำรวจเป็นผู้พิพากษา หลากหลายมาก บทยังไม่ได้โดนอะไรครอบก็เลยเล่นได้หลากหลาย ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะจังหวะชีวิต
พอปีถัดมาก็ไม่ได้บวชเล่นละครมาเรื่อยๆ จนป่านนี้ก็ยังไม่ได้บวชเลย (หัวเราะ) พอไม่ได้บวชก็เลยหันเหมาใช้ชีวิตแบบฆราวาส มาแต่งงานมีครอบครัวในช่วงที่งานยังไม่มากและเรายังไม่คิดว่าจะยึดเป็นอาชีพนะ คิดอยู่ตลอดเวลาว่าเดี๋ยวก็คงจะไม่มีใครจ้างเรา
ทางครอบครัวเขาก็ไม่ได้ว่าอะไรแต่ลึกๆ แม่ไม่ได้ชอบ ความรู้สึกของแม่คนโบราณคืออยากให้ลูกตื่นเช้ามาผูกไทไปทำงาน จะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่แค่ขอให้ผูกไทไปทำงาน นักแสดงคนโบราณจะคิดว่าเป็นอาชีพเต้นกินรำกิน แต่ผมกลับภาคภูมิใจนะเพราะว่ามันไม่ใช่เรื่องที่ทุกคนจะทำได้ เราก็มองว่ามันเป็นศิลปะ แล้วลึกๆ เรามีความอหังการว่ามันไม่ได้ทำได้ทุกคน เขาก็ไม่ได้อับอายขายหน้าอะไรมากมาย แค่เขารู้สึกว่าผิดหวังเล็กๆ
แม้ไม่ได้บอร์นทูบีแต่ก็ทำมันอย่างเต็มความสามารถ ?
คือคนสมัยผมคนที่จะเป็นดาราได้ต้องตัวสูงใหญ่ล่ำหล่ออย่าง “มิตร ชัยบัญชา” แต่เราหน้าตี๋ผอมไม่เข้ากับเทรนด์สมัยนั้นเรารู้สึกว่าเราไม่ได้เกิดมาแบบบอร์นทูบีสตาร์ แล้วศิลปะการแสดงคนก็ไม่ได้สนใจอะไรมาก แต่เมื่อมีโอกาสทำเราก็ตั้งใจทำออกมาให้มันดีที่สุด การแสดงไม่เคยไปร่ำเรียนที่ไหนแต่ว่าสิ่งหนึ่งที่เราเล่นได้ก็เพราะว่าตอนสมัยเด็กแม่จะไม่ยอมให้ไปเล่นกับลูกชาวบ้านเขา อยู่ในบ้านก็เล่นคนเดียวบางทีก็เล่นกับพี่ชาย ส่วนใหญ่จะเล่นคนเดียว ซึ่งมันต้องมีการสมมติตัวเองเป็นคนนั้นคนนี้ (หัวเราะ) แล้วจะรู้สึกว่าตัวเองเล่นได้ เล่นเป็นทั้งผู้ร้ายพระเอกเล่นแล้วก็สงสารตัวเองด้วยความอ่อนไหว จะเอาไม้ขัดหม้อข้าวของแม่มาสมมติว่าเป็นดาบกายสิทธิ์ เรียกว่าผมเริ่มการแสดงมาด้วยจินตนาการของตัวเองตั้งแต่ในวัยเด็ก

ภรรยา (ดวงกมล ฉัตรรังสิกุล) เป็นพยาบาล ชีวิตเขาเรียบง่ายเรียนจบเป็นพยาบาลอยู่ที่รามาฯแล้วก็มาแต่งงานกับผม ตอนที่เราแต่งงานกันเขาก็เป็นพยาบาลส่วนผมก็เป็นนักแสดง อาชีพเขาวันๆ ไม่ได้เจอใครเจอคนไข้กับญาติคนไข้ แต่ที่มาเจอผมก็คือแม่เขาไปวัดแล้วเจอกับผม และตอนหลังเห็นว่าผมไม่บวชแล้วก็เลยพาไปแนะนำให้รู้จักกัน เรามีลูกด้วยกันคนเดียวเป็นลูกสาว (เพียงออ ฉัตรรังสิกุล) อายุ 28 แล้ว ถ้าถามว่าเขามีใจที่อยากจะเข้ามาทำงานในวงการเหมือนเราบ้างไหมก็พอจะมีบ้างสมัยเด็กๆ แต่ไม่ได้มากมาย แต่ผมยอมรับว่าผมเลี้ยงเขาผิดเหมือนกันนะคือปล่อยตามใจเขาด้วยความที่เขาเป็นลูกคนเดียว แต่เขาก็ไม่ใช่เด็กเกเรอะไรเพียงแต่เขามีความเชื่อมั่นในตัวเองสูงเกินไป เขาเรียนเอกจีนอาชีพเขาคือเป็นล่ามเป็นพวกแปลภาษาซึ่งก็คือเอาตัวรอดได้
ความรู้สึกของลูกสาวกับอาชีพของคุณพ่อ ?
เขาเขินที่พ่อเป็นดารา อย่างตอนเขาเด็กๆ เวลาที่เดินไปไหนมาไหนแล้วมีคนชี้เขาก็จะรู้สึกไม่ชอบเขินที่คนมาทักเขารู้สึกว่าถ้าคนอยากจะรู้จักเขาก็น่าจะรู้จักเพราะความเป็นเขา ไม่ใช่ว่าเพราะลูกดารา ซึ่งเราก็จะพยายามบอกเขาว่าที่พ่อมีอาชีพตรงนี้ได้ก็เพราะว่าประชาชนถ้าเขาไม่รักไม่ชื่นชมเรา เราก็ไม่มีอาชีพนี้นะ เขาก็บอกว่าไม่ได้ว่าอะไรเพียงแค่เขาอยากให้มีความเป็นส่วนตัว
บทบาทที่ คนจดจำภาพของ “เคน-วิสรรค์” ?
คนไม่ได้จำจากบทอะไรเพราะว่าเราไม่เคยได้เล่นอะไรที่เด่นมาก แต่คนจะจำคาแร็กเตอร์ว่านี่ไงคนนี้ที่ชอบเล่นเป็นพ่อ คนนี้ที่ชอบเล่นเป็นคนจีน ซึ่งผมก็บอกเขาไปว่าเปล่าหรอกไม่ได้ชอบเล่นเป็นพ่อ ผมชอบเป็นพระเอก (หัวเราะ) คนจะคุ้นเคยว่าเราเป็นคนอารมณ์ดีถ้าต้องเล่นเป็นตัวร้ายก็จะต้องมีหนวดหน่อย แต่ไม่รู้เป็นไงส่วนมากก็เล่นเป็นคนดี ผมชอบเล่นบทแบบที่มันลึกๆดราม่าคนที่สูญเสียผู้เสียสละ แสดงออกมาจากข้างในเยอะๆ เล่นแล้วรู้สึกสะใจเล่นแล้วอิ่ม แต่ประเภทที่ว่าแรงๆ เล่นเป็นพ่อใจร้ายตีตบลูกคนจะชอบมากแต่เราเล่นแล้วเราไม่ชอบเลยรู้สึกว่ามันเฟค เราเล่นแค่ภายนอกแต่ข้างในโหวง
กับบทบาทการเป็นผู้เขียนบทละครโทรทัศน์ ?
เคยเขียนให้กับกันตนา ซึ่งเป็นพวกซีรี่ส์จบในตอน ส่วนละครยาวจะมีหลายที่ เขียนไปประมาณ 7-8 เรื่องจุดเริ่มต้นคือจริงๆ แล้วผมเป็นคนชอบเขียนแล้วก็เคยเขียนหนังสือเขียนเรื่องสั้นมาบ้าง จนได้ลองเขียนบทละคร ซึ่งคนรุ่นเก่าอย่าง “อารุจน์
รณภพ” “ป๊ะดุลย์” (อดุลย์ ดุลยรัตน์) หรือว่า “พ่ออี๊ด” (สุประวัติ ปัทมสูต) เขาบอกว่าชอบ เหมือนว่าเราเขียนออกมาแล้วเราเข้าใจคนรุ่นเดียวกันมองทางกันออก ตั้งแต่เขียนบทมาเขียนให้พ่ออี๊ดผมมีความสุขที่สุด หมายความว่าเขาก็ชอบแล้วเขาเอาบทผมไปทำให้ดีขึ้น อย่างเรื่องพล นิกร กิมหงวน ตอนนั้นทำให้กับทีวีธันเดอร์ คือเราเล่นตลกแต่ว่าเรามีแทรกดราม่าที่มันลึกเข้าไปด้วย ก็เขียนบทอยู่พักนึงแต่ว่าตอนหลังมันเครียดนานๆ ทิ้งไปไม่ได้เขียนเราก็คิดว่ามันเอาท์แล้วล่ะ แนวคิดแบบเราคงจะไม่เหมาะกับยุคนี้ ก็เรียกว่าไม่ล้มเหลวไม่ประสบความสำเร็จ คนที่ชอบก็มีคนที่ไม่ชอบก็มี ถือเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ผมชอบและทำพอได้ เรื่องที่เขียนแล้วภูมิใจที่สุดคือ คุณแจ๋วกะเพราไก่คุณชายไข่ดาว ได้รับคำชื่นชมจาก “คุณแม่สมสุข กัลย์จาฤก” และหลายคนมาก เรตติ้งละครก็ดีด้วย เป็นละครที่เขียนมาแล้วเรตติ้งดีที่สุด เรื่องทานตะวัน สะพานรักสารสิน ขายตรงส่งรัก ก็ภูมิใจนะแต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปแนวคิดเราเปลี่ยน และถ้าเราจะเขียนจริงๆ คงจะยึดทั้งสองอาชีพไม่ได้หรอก เราก็ถือว่างานแสดงเป็นอาชีพเรา งานเขียนบทต้องใช้เวลาเยอะมันไม่ใช่ง่ายๆ ต้องคิดจนสมองแตกเลย มุขซ้ำก็ไม่ได้
ต้องบอกว่าผมร่วมงานกับกันตนาบ่อยนะ ทั้งเขียนบทและฐานะนักแสดง คือหลังจากที่ผมเล่นละครของเจเอสแอลแล้วละครเรื่องที่สองในชีวิตก็เล่นให้กับกันตนา ต้องถือว่ากันตนามีบุญคุณกับผม “ตุ๊กตา” (จิตรลดา กัลย์จาฤก) เขาเคยพูดว่าเวลาที่เขามีปัญหา
อะไรหาคนเล่นไม่ได้ถ้าเผื่อขอความช่วยเหลือจากพี่วิสรรค์แล้วพี่วิสรรค์ไม่เคยปฏิเสธเลย เราก็สำนึกในบุญคุณเขานะกันตนาบทเล็กบทน้อยบทใหญ่เขาก็เรียกเราตลอด และจุดนึงที่เป็นความภูมิใจก็คือเวลาที่มีบทต้องพูดยาวๆ ก็ต้องพี่วิสรรค์ หรือว่าทาง “คุณบอย” (ถกลเกียรติ วีรวรรณ) ซึ่งเราก็เล่นกับเขามานาน ผมเคยเล่นเรื่องคู่ชื่นชุลมุน เป็นละครที่ลงตัวมากบทลงตัวกลมกลืนมาก แต่เรื่องแรกที่ผมได้ร่วมงานกับคุณบอยคือรักในรอยแค้น ซึ่งเป็นละครเรื่องแรกของเอ็กแซ็กท์ แล้วผมเป็นคนแรกที่เข้าฉากละครของเขาและก็ยังได้ร่วมงานกันมาเรื่อยๆ ล่าสุดก็ในเรื่อง ล่า ที่กำลังถ่ายทำอยู่ สำหรับผลงานตอนนี้ก็มีเรื่อง สื่อสองโลก ที่ออกอากาศอยู่และที่ถ่ายทำอีกเรื่องคือหงส์เหนือมังกร ตอนนี้ความจำก็ยังแม่นอยู่แต่ไม่รับรองว่าถึงเมื่อไหร่ (หัวเราะ) นักแสดงตราบใดที่ยังจำบทได้ก็เล่นได้ และยังจะเล่นไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เขายังจ้างเราอยู่ ทุกวันนี้คนที่จ้างก็คือคนที่เราคุ้นเคยที่เคยทำงานด้วยกันมา
แง่คิดดีๆ สำหรับนักแสดงรุ่นใหม่ ?
ทำงานต้องมีวินัยอย่าลืมว่าเราไม่ใช่คนคนเดียวแต่มีอีก 50-60 ชีวิตในกอง ถ้าเราเกเรไปมันก็จะส่งผลสะท้อนถึงทุกคนด้วยเราทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุดมันก็จะดีด้วยกันทุกฝ่าย นี่คือสิ่งที่อยากฝากให้นักแสดงรุ่นใหม่ที่เข้ามานะครับ คือตรงนี้มันเข้ามายาก เป็นอาชีพที่ดีมากสบายเงินดีรักษาไว้ให้ดีที่สุดแล้วก็ต้องเอื้อเฟื้อทุกคนด้วย แล้วประการที่สองเรื่องการดูแลตัวเองเมื่อมีรายได้แล้วต้องเก็บ อย่าคิดว่าเราจะมีรายได้อย่างนี้ไปตลอด ผมคิดเสมอว่าเมื่อเราเล่นเรื่องนี้แล้วนี่คือเรื่องสุดท้ายของเราแล้วนะ พรุ่งนี้จะมีคนจ้างเราหรือเปล่าเราไม่รู้อาจจะไม่มีก็ได้ กินอยู่อย่างประหยัด ทำงานประหนึ่งว่านี่คืองานสุดท้ายแล้วต้องเต็มที่ เราไม่ได้
หลอกตัวเองนะแต่เราคิดอย่างนั้นจริงๆ