Star Retro : ‘ต๋อย-วิชัย’ หวนรำลึก 50 ปี พิ้งค์แพนเตอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/285861

Star Retro : ‘ต๋อย-วิชัย’ หวนรำลึก 50 ปี พิ้งค์แพนเตอร์

Star Retro : ‘ต๋อย-วิชัย’ หวนรำลึก 50 ปี พิ้งค์แพนเตอร์

วันอาทิตย์ ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

โลดแล่นบนเส้นทางดนตรีที่หลากหลาย อะไรทำให้ ต๋อย-วิชัย ปุญญะยันต์ ผู้ก่อตั้งวงพิ้งค์แพนเตอร์ สมัครใจที่จะยึดอาชีพนี้เป็นหลัก และยืนหยัดได้อย่างแข็งแกร่ง สตาร์เรทโทรสัปดาห์นี้ขอพาย้อนรำลึกความทรงจำสุดประทับใจของ หนึ่งในตำนานศิลปินไทย ต๋อย-วิชัย ปุญญะยันต์

เมื่อดนตรีเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต

ผมเริ่มเล่นดนตรีตั้งแต่อายุ 16 หัดกีตาร์ตั้งแต่อายุ 10 ขวบ หัดเล่นมาเรื่อยๆ พอเรียนมัธยมจบก็เรียนต่อสายพาณิชย์ เราก็ตั้งวงดนตรีเล็กๆ ของเราขึ้นมา เล่นกันเองกับเพื่อนๆ สมัยนักเรียน และมีไปเล่นตามงานสนุกๆ กันตามประสา มีอยู่วันหนึ่งวง “Silver sand (ซิลเวอร์แซนด์)” ต้องไปเล่นต่างจังหวัด เขาก็หาวงเด็กๆ ไปเล่นแทน ที่ไนท์คลับที่เขาเล่นประจำอยู่ วงผมก็เข้าไปเล่นแทน ซึ่งเล่นดีไม่ดีไม่รู้ เอาไปแทนก่อน(หัวเราะ) ตอนนั้นใช้ชื่อวงว่า “ลักกี้เซเว่น” คือเป็นวงเด็กๆ ต้องจับหัดกันทีละคน แล้วก็มารวมเล่นกันเป็นวง ตอนนั้นสนุกมาก พอวงซิลเวอร์แซนด์ กลับมาจากเล่นต่างจังหวัด ตอนนั้นไนท์คลับเลิกตีสอง เขาก็เอาของไปเก็บที่บาร์ แล้วก็มานั่งดู คือเขาก็เห็นเราจากตอนนั้น

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

วันที่ “วงซิลเวอร์แซนด์” ชวนผมไปร่วมวง ก็คือเมื่อปี พ.ศ. 2510 ตอนนั้นผมอายุเพิ่ง 16 ขวบเองเพราะอาจารย์วิรัช อยู่ถาวร หนึ่งในสมาชิกของวง นิ้วหัก ซึ่งเป็นมือโซโล่ของวงซิลเวอร์แซนด์ที่ดังมาก ในสมัยนั้น แล้วหัวหน้าวงก็เห็นว่าผมเล่นกีตาร์ได้ จากที่เขาได้เห็นในไนท์คลับวันนั้น เขาก็ให้เราไปเล่นแทน ซึ่งตอนนั้น ตกใจมาก เพราะเป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ เรียนด้วยทำงานด้วย และเกร็งด้วย เราเด็กสุดในวง แต่ก็โอเคไม่เป็นไร เพราะเขาบอกว่าไปแทนเฉยๆ สามเดือนนิ้วแกก็คงหายหักแล้วล่ะ ก็ไปแทน แต่พออาจารย์วิรัชนิ้วหาย เขาก็ไม่ยอมให้ออก ไม่ปล่อยผมไป

เข้าสู่วงการดนตรีเต็มตัว

ช่วงนั้นผมกำลังจะเข้าเรียนพาณิชย์ ก็ต้องถามพ่อ-แม่ก่อน สุดท้าย..โอเคเล่น เพราะก็เล่นไม่ไกลบ้าน เล่นแถวสะพานควาย บ้านอยู่สี่แยกตึกชัยก็เรียนด้วย เล่นดนตรีไปด้วย เรียนเที่ยง เลิกทุ่ม สามทุ่มไปทำงานที่บาร์ แล้วเลิกตีสอง วันรุ่งขึ้นก็ทำบัญชี ตอนนั้นเรียนบัญชี ถือเป็นช่วงที่เหนื่อยแต่ก็สนุก เล่นไปเรื่อยๆ

ภาคภูมิใจที่สุดในชีวิต

พอเล่นมาถึงปี พ.ศ. 2512 “วงซิลเวอร์แซนด์”ประกวดแข่งกับ “วงดิอิมพอสซิเบิ้ล” แล้ว วงดิอิมพอสซิเบิ้ล ได้ที่หนึ่ง วงซิลเวอร์แซนด์ ได้ที่สอง คือเมื่อก่อนวงซิลเวอร์แซนด์ เข้าประกวดจะได้ที่หนึ่งตลอดนะ พอผมเข้าไปเล่นด้วยได้ที่สองเลย (หัวเราะ)แต่วงดิอิมพอสซิเบิ้ล เขาเล่นดีมาก แล้วในปีพ.ศ.2512 ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จฯมาทอดพระเนตรรอบที่พระราชทานรางวัลด้วยพระองค์เอง ที่สวนอัมพรวงที่เข้ารอบสุดท้าย 5 วง จึงได้เล่นถวาย แล้วกรรมการก็ตัดสินตอนนั้น ใครได้ก็รู้เลย เหมือนประกวดนางงามผมก็โอเคเราได้ที่สอง แต่เขาก็จะมีให้รางวัลนักดนตรีที่ได้ที่หนึ่งแต่ละสาขา โดยไม่สนใจว่าวงไหนที่ 1 ที่ 2ผมได้กีตาร์คอร์ดยอดเยี่ยม คือสมัยก่อนเขาดูกันละเอียดแต่ละคนเลยนะ ผมคิดว่าดีนะครับ ครั้งนี้เขาจะมีแยก กีตาร์คอร์ดยอดเยี่ยม กีตาร์โซโล่ยอดเยี่ยม นักร้องยอดเยี่ยม คือทำให้นักดนตรีมีกำลังใจ ผมโชคดีที่ได้รับพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ในวันนั้น วันที่ 31 ก.ค. ปี 2512 ตอนนั้นเพิ่งเล่นดนตรีอาชีพมา 2 ปี น่าจะอายุ 18 ปี แล้วได้รางวัลนี้ ถือว่าเป็นรางวัลที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตการเป็นนักดนตรีของผม ซึ่งตอนนั้นเราก็ภูมิใจนะยิ่งพอมาวันนี้ ยิ่งภูมิใจเข้าไปใหญ่ เพราะว่าจากวันนั้นท่านก็ไม่ได้เสด็จฯไปพระราชทานกับใครอีก ตอนนั้นน่าจะได้รับกันประมาณไม่ถึง10 คน แล้วจากวันนั้นมา เราก็มีรูปติดที่บ้านจนถึงวันนี้ 48 ปี (วันนั้นกับวันนี้ 31 ก.ค. พอดีเป๊ะเลยที่เราคุยกัน)

สะสมประสบการณ์

ผมทำงานอยู่กับวงซิลเวอร์แซนด์ ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด กว่า 11 ปี จน วงซิลเวอร์แซนด์แยกกัน ผมก็มาตั้งวง “Pink Panther (พิ้งค์แพนเตอร์)”ทำโน่นทำนี่ เล่นไนท์คลับ และตามที่ต่างๆ จนกระทั่งตัวเองเรียบเรียงเสียงประสาน ทำอะไรต่างๆ นานา ทำให้นักร้อง จันทนีย์ อุนากูล, วินัย พันธุรักษ์, สุชาติชวางกูร, วงชาตรี, วงคาราวาน ทำหมดเลย แฮมเมอร์ฯลฯ คือทำเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับบริษัท อีเอ็มไอ(EMI) ซึ่งก่อนหน้านี่เป็นค่ายที่ใหญ่ที่สุด ช่วงนั้นผมถือว่าเป็นช่วงท่องยุทธจักรในวงการดนตรี หนักหนาและเยอะมากๆ

เปิดซิงอัลบั้มแรก

ผมมีโอกาสได้ทำเพลงเป็นอัลบั้มขึ้นมาผู้บริหาร อีเอ็มไอ ชื่อ คุณประมาณ บุษกร เป็นผู้ที่พูดมาเลยคำหนึ่ง “ต๋อย ไหนๆ ทำให้คนอื่นแล้ว ต๋อยทำให้วงต๋อยบ้าง แล้วก็ร้องเพลงได้ไม่ใช่เหรอ” ก็เลยเกิดอัลบั้ม “รักฉันนั้นเพื่อเธอ” ขึ้นมา เป็นชุดแรก จากวันนั้นถึงวันนี้วงพิ้งค์แพนเตอร์เดินทางมายาวนานกว่า 38 ปี ก็ยังมีคนรู้จัก เราก็ดีใจว่าเรายังเล่นดนตรีอยู่ วงพิ้งค์แพนเตอร์ก็ยังอยู่จนทุกวันนี้ ไม่ได้ไปไหน ป่วยบ้าง ดูแลกันในระดับหนึ่ง ครอบครัวก็ดูแลกันไป เสียชีวิตกันไปก็มี จนกระทั่งวันนี้ผมในฐานะหัวหน้าวง ก็ยังครองความเป็นวงที่ไม่เคยแตก ถึงป่วย ตาย เราก็หาคนมาช่วยเล่นไม่ได้หาคนเก่ง แต่หาคนชอบ เคมีเดียวกับเราแต่ก็ไม่เคยไล่ใครออกนะ นอกจากว่าบางคนที่เขาไม่สะดวกทำ ก็ให้เขาหยุดไปเท่านั้นเอง

เพลงดังติดหู

มีเพลงที่ถือว่าดังมากๆ ก็คือเพลง “รักฉันนั้นเพื่อเธอ” “รอยเท้าบนผืนทราย” เป็นเพลงที่คนก็ยังร้องอยู่จนทุกวันนี้ แล้วก็มีทำงานให้กับคนอื่นๆ เยอะมาก แล้วผมจะหนักไปทางเรียบเรียงเสียงประสาน ทำนองก็มีแต่งเยอะ แต่เรียบเรียงเสียงประสานเป็นหลายๆ พันเพลง ถ้าเป็นแต่งเนื้อร้องผมไม่ค่อยมีเวลาแต่ง และผมก็เชื่อในความเป็นพรสวรรค์ของคนแต่งเนื้อเพลง เพราะฉะนั้นถอยหลังไป 10-20 ปีที่ผ่านมา ผมทำอยู่เบื้องหลังมาตลอด แล้วก็เล่นหากินไปด้วย สนุกครับ ก็เลยเหมือนกับเรามีเรื่องราวในชีวิตเยอะ

ถ่ายทอดความทรงจำผ่านเวทีคอนเสิร์ต

เรากำลังจะมีคอนเสิร์ต “พิ้งค์แพนเตอร์50 ปี ดนตรีและความฝัน” 50 ปีที่ผ่านมา เรามีเรื่องเล่าเยอะแน่นอน ไม่ใช่มีแค่เพลงพิ้งค์แพนเตอร์อย่างเดียวแต่เรามีทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็น เพลงฝรั่ง เพลงชาโดว์สมัยก่อน คือเอาคนที่ได้รางวัลพร้อมเราในวันนั้น ตามกลับมาเล่น อาจารย์วิรัช อาจารย์วินัย และผมวิชัย คำนำหน้า “วิ” เหมือนกันหมด แล้วก็นักร้องที่เราจะให้มาร้องกับวง ก็คงไม่มีใครจะเหมาะสมเท่ากับ พี่ต้อย-เศรษฐา ศิระฉายา แต่ให้พี่ต้อยมาในอีกรูปแบบหนึ่ง แฟนๆ น่าจะแปลกใจ เพราะพี่ต้อยแกยังบอกเลยว่า “เฮ้ย..คอนเสิร์ตนี้สนุกดีเว้ย” นอกจากนี้ พี่ต้อยก็จะได้ร้องเพลงดังๆ ของพี่ต้อยเอง ที่คนเรียกร้อง อย่าง “เป็นไปไม่ได้, เพลิงทะเล” อะไรประมาณนี้ มีหลายรูปแบบ ในขณะเดียวกันในส่วนของ วงพิ้งค์แพนเตอร์ ก็มีเพลงฮิตๆ ของเราทุกเพลงที่เอามาเล่น เชิญศิลปินที่เราทำงานให้มาร่วมด้วย แต่เชิญมาเยอะไม่ได้ครับ เพราะแพง (หัวเราะ)

ความพิเศษของคอนเสิร์ตครั้งนี้

เราทำเพื่อเป็นการส่งเสด็จ เราน้อมใจถวายเพลงที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทรงพระราชนิพนธ์ไว้ เป็น ไฮท์ไลท์ เพลงแรกคือ เพลง “ความฝันอันสูงสุด” แล้วในช่วงที่ก่อนจะจบคอนเสิร์ต ผมก็ได้แต่งเพลงหนึ่งเป็นการถวายอาลัยให้กับพระองค์ท่านด้วย เล่นในงานนี้โดยเฉพาะ ชื่อเพลง “ร่มไม้ที่หายไป” คือผมเศร้ามาก ผมแต่งจากความรู้สึกลึกๆ เพราะว่าเรามีรูปท่านพระราชทานรางวัลเราอยู่ตรงนั้นผ่านมาก็กว่า 48 ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมก็เด็กมากจำได้ว่าเดินเข้าไปก้มกราบที่พระบาทท่าน ปลายนิ้วมือยังสัมผัสปลายพระบาทพระองค์ท่านเลย ผมจำได้หมดก็เลยแต่งเพลงนี้ขึ้นมาใส่ไว้ตอนจบโชว์ ซึ่งเป็นเพลงที่ค่อนข้างฟังแล้วเศร้า นอกจากนี้ก็จะมีความหลากหลายมากในคอนเสิร์ตครั้งนี้ที่ผมก็พยายามจะนำทุกอย่างที่สามารถหยิบจับมารวมกันอย่างละนิดอย่างละหน่อย เล่าเรื่องราวชีวิตเราผ่านคอนเสิร์ตครั้งนี้ ภายในเวลาไม่เกิน 3 ชั่วโมง อยากจะเชิญชวนมาดูกันครับ

เพราะรักจึงจัดไม่เคยขาด

เป็นคอนเสิร์ตที่จัดมาหลายปีแล้ว ซึ่งปีนี้ก็เป็นปีที่ 9 ครั้งนี้จะพิเศษหน่อย คือผมทำงานอาชีพเกี่ยวกับดนตรีมา 50 ปีแล้ว คอนเสิร์ตผมก็จัดเอง ไม่เคยมีใครมาขอให้จัด เพราะเขาไม่ได้เห็นว่าเราเป็นตัวขาย แต่เราอยากจะจัด เพราะว่าเราคือนักดนตรีอาชีพจริงๆ แล้วก็ภูมิใจกับอาชีพนี้เป็นอย่างมากไม่เคยมีความรู้สึกว่าทำแล้วไม่รวยเท่าคนโน้นคนนี้ แต่เรากลับมีความรู้สึกว่าเรามีพรสวรรค์กับงานที่เราทำ และสามารถทำได้ โดยไม่ได้ร่ำเรียนมาจากเมืองนอกที่ไหน ไม่มีดีกรีการันตีอะไร ทุกอย่างเกิดจากตัวเราเองทั้งหมด เริ่มจากแกะเพลงเองมาตั้งแต่เด็ก 10 ขวบ หัดกีตาร์เองโดยไม่มีวิดีโอสอน ใช้หูฟังแล้วแกะเพลง จนกระทั่งไม่ต้องจับเครื่องดนตรีก็ฟังออกมาได้ สามารถเขียนเป็นโน้ตได้ ซึ่งตรงนี้เราภูมิใจในอาชีพนี้ ถึงจัดมาตลอด อยากให้มาดูกันในวันที่ 24 สิงหาคมนี้ ที่ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย รอบหนึ่งทุ่มตรงรอบเดียว ซื้อบัตรได้ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ครับ แขกรับเชิญก็จะมี สุชาติ ชวางกูร, ต้อย-เศรษฐา ศิระฉายา, วินัย พันธุรักษ์, วิรัช อยู่ถาวร แล้วก็ Orchestra วงใหญ่ 30กว่าชิ้นครับ

โอกาสสร้างชีวิต

โชคดีที่มีคนให้โอกาส คนอย่างผมบอกได้เลยว่า เพราะคนให้โอกาส อาจจะเป็นเพราะว่าเราทำบุญมา เคยให้โอกาสคนมาตั้งแต่ปางไหนก็ไม่รู้ แต่ว่ามีคนให้โอกาสเรา นี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด จริงๆ ก็เริ่มจากคุณพ่อ-คุณแม่ที่ให้โอกาสเราเล่นดนตรีด้วยนะ

ด้านครอบครัว

ผมเป็นลูกคนสุดท้าย คุณพ่อ-คุณแม่เล่นดนตรีไทยได้ แต่ก็ไม่ได้เป็นอาชีพนะ คุณแม่ดีดจะเข้ คุณพ่อสีไวโอลิน ได้บ้าง ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ปลูกฝัง หล่อหลอมเรา ให้รักในการเล่นดนตรี แล้วคนสมัยโบราณเขาเล่นดนตรีไทยกันนะ จำได้เด็กๆ เขาจะนัดมาเล่นกันเป็นวงดนตรีไทยเยอะมาก แต่จำไม่ได้ว่ามีเครื่องดนตรีอะไรบ้าง ฉะนั้นเสียงดนตรีไทยก็จะอยู่ในหัว เพราะคุณพ่อท่านโตในวังบูรพามา ท่านเป็นลูกมหาดเล็กในวังบูรพา ฉะนั้นเรื่องดนตรีก็เลยฝังอยู่ในตัวเรามาโดยตลอด ลูกๆ ก็ชอบกันทุกคน แต่คนที่มีอาชีพเป็นนักดนตรีก็คือผมคนเดียว พี่ๆ ก็จะเล่นดนตรีบ้างสนุกๆ

ลูกไม้หล่นใต้ต้น

ผมมีลูกชายคนเดียว ก็ทำงานเป็นมิวสิกไดเร็กเตอร์ด้านโฆษณา ตอนที่เขาโตขึ้นมา ผมก็ทำเพลงโฆษณา ซึ่งทำเยอะมาก 2,000-3,000 เพลง เขาก็ซึบซับ แล้วอีกอย่างผมก็จับลูกมาร้องเพลงโฆษณาตั้งแต่ยังเด็กๆ (หัวเราะ) จนตอนนี้เขาอายุ 36 ปี มี บริษัทคือ แพนเตอร์ ออดิโอ วิชั่น จำกัด ซึ่งบริษัทนี้ก็เกือบจะ 30 กว่าปีแล้ว อย่างโฆษณาที่ดังมากๆ ก็คือ เพลง “รักไม่รู้ดับ” เพลงโฆษณาบัตรเครดิต เคทีซี น่าจะคุ้นกันครับ

เสียงดนตรีของ วิชัย ปุญญะยันต์ ได้ช่วยกล่อมเกลาจิตใจคนฟังมาหลายยุค ผ่านเวลา 50 ปีเขาไม่เคยคิดจะหยุด เพราะย้ำว่า…ดนตรีช่วยจุดประกายชีวิต ให้เดินหน้า…

กุหลาบสีเงิน

Leave a comment