รายงานพิเศษ : เจาะลึก…การพัฒนาลุ่มน้ำคลองวังโตนด สร้างความมั่นคงให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/279825

รายงานพิเศษ : เจาะลึก...การพัฒนาลุ่มน้ำคลองวังโตนด สร้างความมั่นคงให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก

รายงานพิเศษ : เจาะลึก…การพัฒนาลุ่มน้ำคลองวังโตนด สร้างความมั่นคงให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก

วันจันทร์ ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

จังหวัดจันทบุรี เป็นจังหวัดทางชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ตั้งอยู่ในเขตอิทธิพลของร่องความกดอากาศต่ำของลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมดีเปรสชั่นจากทางด้านตะวันออกของประเทศ ทำให้มีปริมาณฝนมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ เฉลี่ยถึง 2,600 มิลลิเมตร (มม.)/ปี มีปริมาณน้ำท่าเฉลี่ยต่อปีถึงมากถึง 6,662 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.)

แต่…จันทบุรีกลับขาดแหล่งกักเก็บน้ำ

ปัจจุบัน จ.จันทบุรี มีแหล่งเก็บกักน้ำทั้งสิ้น 187 แห่ง เก็บกักน้ำได้ 262 ล้านลบ.ม. สามารถส่งน้ำไปให้พื้นที่ชลประทานได้ 439,440 ไร่ จากพื้นที่เกษตร 2.3 ล้านไร่ ซึ่งจะเห็นว่าความสามารถในการเก็บน้ำของจังหวัดยังไม่ถึง 1% ของปริมาณน้ำท่า ที่เหลืออีกหลายพันล้าน ลบ.ม. ได้ไหลลงทะเลไปเปล่าประโยชน์

นอกจากนี้ พื้นที่ป่าต้นน้ำที่จะคอยดูดซับน้ำยังถูกบุกรุกทำลาย ดังนั้นเมื่อเกิดฝนตกหนักติดต่อกันหลายวันน้ำก็จะไหลลงสู่พื้นที่ตอนล่างทันที ทำให้เกิดภาวะน้ำท่วมเป็นประจำ ขณะที่เมื่อถึงฤดูแล้งก็จะประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ และน้ำทะเลหนุนสูงเข้าสู่พื้นที่เกษตรกรรม เพราะขาดแหล่งกักเก็บน้ำ ไม่มีน้ำไปผลักดันน้ำเค็ม ปัญหานี้เกิดขึ้นซ้ำซากเกือบทุกปี หนักบ้างเบาบ้างแล้วแต่ว่า ปีนั้นๆ สภาพฝนเป็นอย่างไร

ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า การแก้ไขปัญหาน้ำของ จ.จันทบุรี จำเป็นต้องพัฒนาแหล่งเก็บกักน้ำเพิ่มขึ้นในทุกลุ่มน้ำ ซึ่งกรมชลประทานได้วางแผนที่จะพัฒนาแหล่งน้ำให้สามารถเก็บกักน้ำได้ร้อยละ 20 ของปริมาณน้ำท่า หรือประมาณ 1,333 ลบ.ม. และเพิ่มพื้นที่ชลประทานอีก 934,000 ไร่ หรือร้อยละ 40 ของพื้นที่ทางการเกษตรทั้งหมด ซึ่ง จ.จันทบุรี เป็นรอยต่อของ 3 ลุ่มน้ำ คือ ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ลุ่มน้ำพระสะทึง และลุ่มน้ำโตนเลสาบ นอกจากนี้ยังมีลุ่มน้ำสาขาอีกหลายแห่ง

ลุ่มน้ำคลองวังโตนด เป็นหนึ่งในลุ่มน้ำสาขาของลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลตะวันออก ก็ประสบปัญหาเรื่องน้ำทั้งเช่นเดียวกับลุ่มน้ำอื่นๆ ของ จ.จันทบุรี ในปี 2535 กรมชลประทานได้เข้าไปศึกษาการพัฒนาลุ่มน้ำเบื้องต้นพบว่า ต้องมีการสร้างอ่างเก็บน้ำขนาดกลางในพื้นที่ต้นน้ำ 4 แห่งตามลำดับความสำคัญ ดังนี้ อ่างเก็บน้ำคลองประแกด ต.พวา อ.แก่งหางแมว ความจุ 60 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำคลองพะวาใหญ่ ต.พวา อ.แก่งหางแมว ความจุ 68 ล้าน ลบ.ม. อ่างเก็บน้ำคลองหางแมว ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว ความจุ 80 ล้าน ลบ.ม. และอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว ความจุ 99 ล้าน ลบ.ม.

“ขณะนี้อ่างเก็บน้ำคลองประแกด อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2561 ส่วนอ่างเก็บน้ำคลองพะวาใหญ่ และอ่างเก็บน้ำคลองหางแมว น่าจะเริ่มก่อสร้างปีได้ในปี 2561 เหลือเฉพาะอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนดที่อยู่กำลังดำเนินการศึกษาทบทวนความเหมาะสมและผลกระทบสิ่งแวดล่้อม”

โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด เป็น 1 ใน 4 อ่างที่มีความสำคัญและมีขนาดใหญ่ที่สุด นอกจากการศึกษาเบื้องต้นเมื่อปี 2535 แล้ว กรมชลประทานได้การศึกษาความเหมาะสมอีกครั้งในปี 2545 แต่ต่อมาเมื่อปี 2552 กรมอุทยานแห่งชาติฯได้ประกาศให้ บริเวณพื้นที่โครงการบางส่วนอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาสิบห้าชั้น กรมชลประทานจึงได้ศึกษาวิเคราะห์ความเหมาะสมและทบทวนผลกระทบสิ่งแวดล้อม(EHIA) เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน

“ขณะนี้การศึกษาได้เสร็จเรียบร้อยแล้ว มีผลสรุปยืนยันว่า มีความจำเป็นที่จะต้องพัฒนาสร้างอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำได้ในทุกภาคส่วน และยังสามารถบรรเทาอุทกภัยได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความคุ้มค่าในการลงทุน หากไม่ติดขัดปัญหาอะไร น่าจะสามารถเริ่มต้นดำเนินการก่อสร้างได้ในปี 2563” รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าว

โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด ตัวเขื่อนตั้งอยู่บริเวณบ้านโป่งเกตุ ต.ขุนซ่อง อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี มีลักษณะเป็นเขื่อนดินสูง 25 เมตร ยาว 3,000 เมตร อ่างเก็บน้ำมีความจุ 99.50 ล้าน ลบ.ม. มีพื้นที่รับน้ำฝน 255 ตร.กม. และมีปริมาณน้ำท่าไหลลงอ่างฯในเกณฑ์เฉลี่ย 120 ล้าน ลบ.ม./ปี เมื่อแล้วเสร็จจะมีพื้นที่ได้รับประโยชน์ถึงประมาณ 88,000 ไร่ และจะทำให้การบริหารจัดการน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำคลองวังโตนดได้เต็มประสิทธิภาพ สามารถบรรเทาปัญหาขาดแคลนน้ำและปัญหาอุทกภัยในพื้นที่ลุ่มน้ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ และยังช่วยฟื้นฟูสภาพนิเวศวิทยา คุณภาพน้ำ ตลอดลำน้ำให้อุดมสมบูรณ์ เพื่อเป็นแหล่งน้ำดิบสำหรับอุปโภคบริโภคในพื้นที่อย่างเพียงพอ

นอกจากนี้ยังสามารถผันน้ำส่วนเกินความต้องการในช่วงฤดูฝน จากบริเวณฝายวังโตนดเข้าสู่ระบบชลประทานไปเก็บไว้ในอ่างเก็บน้ำประแสร์ จ.ระยอง เพื่อเป็นแหล่งน้ำดิบสำรองรองรับ โครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในระยะแรกเฉลี่ยประมาณปีละ 60 ล้าน ลบ.ม. และสามารถเพิ่มปริมาณการผันน้ำในอนาคตได้ถึง 100 ล้านลบ.ม.อีกด้วย ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นคงน้ำให้กับพื้นที่ลุ่มน้ำชายฝั่งทะเลภาคตะวันออก ที่เป็นเขตเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่สำคัญของประเทศไทย

“หากสามารถดำเนินการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำได้เต็มศักยภาพครบทั้ง 4 แห่ง พร้อมฝายคลองวังโตนดตามแผนการพัฒนาลุ่มน้ำคลองวังโตนด ของกรมชลประทานนั้น จะทำให้ลุ่มน้ำคลองวังโตนดเป็นลุ่มน้ำตัวอย่างอีกลุ่มน้ำหนึ่ง ที่สามารถบริหารจัดการแก้ปัญหาเรื่องน้ำ ทั้งน้ำท่วม น้ำแล้ง และผลักดันน้ำเค็ม ได้อย่างมีประสิทธิภาพตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ สร้างความอุดมสมบูรณ์ให้ทั่วทั้งลุ่มน้ำ เสริมความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับลุ่มน้ำคลองวังโตนด ซึ่งเป็นแหล่งปลูกผลไม้ส่งออกชั้นดีของประเทศ ไม่ว่า ทุเรียน ลำไย มังคุด เงาะ กล้วยไข่ สร้างรายได้เข้าประเทศปีละกว่า 25,000 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีน้ำเหลือที่ส่งไ่ปช่วยเสริมความมั่นคงให้กับพื้นที่ EEC อีกด้วย” รองอธิบดีกรมชลประทานกล่าว

ด้าน นายวิเชียร งามระเบียบ รองประธานกลุ่มบริหารการใช้น้ำคลองวังโตนด ซึ่งเป็นหนึ่งในเกษตรกรที่ใช้น้ำจากคลองวังโตนดตอนล่าง กล่าวด้วยว่าเกษตรกรส่วนใหญ่จะประสบปัญหาการขาดแคลนน้ำในช่วงเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนของทุกปี เนื่องจากน้ำในคลองแห้งต้องซื้อน้ำใส่รถมาใช้รดสวนผลไม้ ที่สูบน้ำจากประตูระบายน้ำทุ่งเบญจาที่สร้างปิดกั้นคลองวังโตนด แต่หลังจากที่กรมชลประทานได้ดำเนินการก่อสร้างประตูระบายน้ำทุ่งเบญจาปิดกั้นคลองวังโตนดแล้วเสร็จและเปิดใช้งานเมื่อ 3-4 เดือนที่ผ่านมา เกษตรกรมีน้ำเพียงพอ มีความสุข รายได้ก็ดีขึ้นด้วย และหากกรมชลประทานก่อสร้างอ่างเก็บน้ำทางตอนบนทั้ง 4 แห่ง เสร็จสมบูรณ์ ก็ยินดีที่จะแบ่งปันน้ำในส่วนที่เหลือใช้ให้กับพื้นที่อื่นๆ ที่ต้องการน้ำด้วย

หากมองประโยชน์ที่ทุกภาคส่วนจะได้รับ เมื่อเทียบกับเงินลงทุนที่ใช้ในการพัฒนาลุ่มน้ำคลองวังโตนดประมาณ 3,416 ล้านบาทแล้ว ถือว่าคุ้มค่ามาก

Leave a comment