ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/279177

แตกใบอ่อน : เหล้าเก่าในขวดใหม่
หลังประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถ้าไม่นับข่าวใหญ่อย่างการจำใจงัด “มาตรา 44” มาแก้ปัญหาผลกระทบจากการออก “พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทํางานของคนต่างด้าว” ของรัฐบาล ก็ต้องยกข่าว ครม.อนุมัติงบฯก้อนโต 2.28 หมื่นล้าน ให้กระทรวงเกษตรฯ เอาไปดำเนินโครงการ “9101ตามรอยเท้าพ่อ ภายใต้ร่มพระบารมีเพื่อการพัฒนาการเกษตรอย่างยั่งยืน” ซึ่งถือว่าเป็นงบฯก้อนโตเสียจนเงิน 1.5พันล้านที่ ครม.อนุมัติในวันเดียวกัน เพื่อเอาไปใช้ในการอุดหนุนสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ “บัตรคนจน” ให้คนที่มาลงทะเบียนผู้มีรายได้น้อย 14.12 ล้านคน แทบจะกลายเป็นเศษเงินไปในพริบตา
ถามว่าโครงการนี้มีดีตรงไหน?
พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ แกบอกว่า โครงการนี้ไม่ได้เป็นโครงการแจกเงินให้กับเกษตรกรเหมือนที่ผ่านมา แต่เป็นการนำเงินลงไปเป็นทุนต่อยอดเพื่อให้เกษตรกรรู้จักเรียนรู้ผ่านศูนย์เรียนรู้การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตร (ศพก.) 882 แห่งทั่วประเทศ ด้วยการสนับสนุนเงินลงทุนเริ่มต้นให้กับเกษตรกรในชุมชน 9,101 แห่ง แห่งละ 2.5 ล้านบาท รวม 2.28 หมื่นล้านบาท
โดยคาดการณ์จะมีเกษตรกรได้ประโยชน์ 4 ล้านคน จากจำนวนเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนกับกรมส่งเสริมการเกษตรประมาณ 5-6 ล้านคน
ส่วนเงื่อนไขคร่าวๆ ที่จะได้รับเงิน คือ แต่ละชุมชนต้องรวบรวมสมาชิกประมาณ 500 คน แล้วเสนอโครงการซึ่งเป็นกิจกรรมในลักษณะลดต้นทุนการผลิต เพิ่มผลผลิต และยกระดับมาตรฐานสินค้าเกษตร ภายใต้ 8 กลุ่ม โครงการ ประกอบด้วย ด้านการผลิตพืช ด้านการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ ด้านการจัดการศัตรูพืช ด้านฟาร์มชุมชน ด้านการผลิตอาหาร และการแปรรูปการผลิต ด้านปศุสัตว์ (ขนาดเล็ก) ด้านประมง และอื่นๆ เช่น การปรับปรุงบำรุงดิน รวมทั้งต้องมีการจ้างแรงงานร้อยละ 50 ในพื้นที่โดยชุมชนคัดเลือกและรับรองด้วยกันเอง โดยหลังจากครม.อนุมัติ จะสามารถขับเคลื่อนงานทันทีและชุมชนจะได้รับเงินไม่เกิน 15 กรกฎาคมนี้
เท่าที่ฟังรัฐมนตรีเล่ามาคร่าวๆ ถึงบรรทัดนี้ ก็ทำให้เกิดความรู้สึกว่าหลักการของโครงการนี้ก็คล้ายๆ กับ “โครงการสร้างรายได้และพัฒนาการเกษตรแก่ชุมชนเพื่อบรรเทาปัญหาภัยแล้ง” หรือโครกงาร “ตำบลละล้าน” ที่กระทรวงเกษตรฯโดย “กรมส่งเสริมการเกษตร” สมัยมีอธิบดีชื่อ “โอฬาร พิทักษ์” และมีรัฐมนตรีชื่อ “ปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา” เคยดำเนินการมาแล้วเมื่อคราวเกิดปัญหาภัยแล้งปี 2558 ซึ่งการดำเนินการครั้งนั้นได้รับผลตอบรับค่อนข้างดีทีเดียว เพราะเป็นโครงการที่ชุมชนเสนอขึ้นมาเอง ทำให้การแก้ไขปัญหาตรงจุดมากกว่าการให้ภาครัฐคิดแล้วโยนไปให้เกษตรกรทำ ซึ่งอาจจะแก้ปัญหาได้บางพื้นที่เท่านั้น
นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องที่ผมมองว่าเป็น “ปัจจัยสำคัญ” ที่ทำให้โครงการ “ตำบลละล้าน” ในครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม คือ การดึงองคาพยพต่างๆ จากหน่วยงานต่างๆ อาทิ กองทัพ กระทรวงมหาดไทย และโดยเฉพาะกรมตรวจสอบบัญชีสหกรณ์ ที่ส่งทั้งเจ้าหน้าที่และครูบัญชีอาสาลงพื้นที่ไปช่วยชุมชนดูแลการจัดทำบัญชีรับ-จ่ายเงินของโครงการ จนแทบพูดได้ว่าเป็นโครงการที่ปลอดจากการทุจริตมากที่สุดโครงการหนึ่ง
มะลิลา
ผมยังไม่ทราบว่าในการดำเนินโครงการ 9101 ครั้งนี้ กระทรวงเกษตรฯได้วาง
“โมเดล” ไว้อย่างไรบ้าง แต่ด้วยความที่มีเม็ดเงินค่อนข้างมหาศาล จึงอยากฝากเอาไว้ให้ช่วยคิดต่อเผื่อให้การทำงานเกิดความรัดกุม มีประสิทธิภาพ และสามารถตอบโจทย์การแก้ไขปัญหาได้อย่างแท้จริง