ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/288276

Star Retro : เปิดตัวตนขุ่นแม่ ‘ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข’
สตาร์เรโทรสัปดาห์นี้ หยิบความเปลี่ยนแปลงที่ผันแปรของ ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข มาเปิดเผย ศิลปินผู้มีความหลากหลายในบทบาทอาชีพ รวมถึงสาเหตุที่เธอตั้งใจ ไม่เสริม ไม่ตัด เพราะรักความอ่อนหวาน สวยงาม แต่ไม่ได้อยากกลายร่างเป็น ผู้หญิง!?
วันนี้ของ ต้อม-ไกรวิทย์
งานหลักที่ทำอยู่ตอนนี้คือ ร้านทำผม “สุโข ซาลอน” มีอยู่สามสาขา คือที่ เดอะสตรีท รัชดา, เอสพลานาด รัชดา แล้วก็ที่ มหาวิทยาลัยหอการค้า ดูแล 3 สาขานี้ ชีวิตก็แทบจะหมดเวลาแล้ว (หัวเราะ) แต่งานที่มีความสุขและอยากทำมาก คืองานที่เกี่ยวกับออนไลน์ ไลฟ์สด ที่กำลังเริ่ม คือเป็นชื่อรายการว่า “คุยกับ ต้อมไกรวิทย์” ตอนแรกที่คุยกันคือเป็นเรื่องของบิวตี้ แต่ด้วยความที่เรามีประสบการณ์ชีวิตเยอะ เขาเลยอยากให้คนที่เข้ามาคุย มาดูรายการ เข้ามาแชร์เรื่องชีวิตด้วย ซึ่งเราก็ชอบ มีความรู้สึกว่าการได้คุยได้แชร์กันมันทำให้เปิดโลกทัศน์ แล้วเราก็เหมือนตามเหตุการณ์ปัจจุบัน และสิ่งสำคัญที่สุดคือเราได้ฟังปัญหาของคนอื่น เราจะรู้สึกแข็งแรง อีกหน่อยก็จะทำหน้าเพจให้คนอินบอกซ์เข้ามาคุยปัญหา เรื่องเพศ เรื่องความเจ็บป่วยทางจิตทางใจ ที่เราเผชิญอยู่ แล้วก็เรื่องชีวิตด้วย เรารู้สึกสนุก เพราะเราทำงานเกี่ยวกับเรื่องความสวยงาม ซึ่งความสวยงามมันช่วยคนในเรื่องใจได้ ตอนนี้ตัวเองเผชิญเรื่องสุขภาพเยอะ ไม่ได้เป็นอะไรหนัก คือเราจะป่วยทางใจ มันเกิดจากปัญหาที่เราเจอมาในชีวิต แล้วเราก็ดันมาเปลี่ยนสภาพเพศอีก มันก็เหมือนอะไรที่สังคมยุคปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าเราเป็นกูรูผู้รอบรู้นะ แต่เราอยากมีพื้นที่ในการแชร์ เราอาจจะไม่ได้ชี้ทางแก้ให้เขาได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่การได้ระบายออกมา หรือการได้รับฟัง ได้บอกอะไรกลับไปบ้าง เขาอาจจะเป็นไกด์ในชีวิต ส่วนงานร้องเพลง ซึ่งเป็นงานที่เรารักก็จะมีงานโชว์บ้างประปราย เพราะว่ามีความสุข แต่ว่าตอนนี้เน้นมาทำคอนเสิร์ต อยากทำเต็มรูปแบบ แล้วเราก็ได้สร้างงานเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับสังคม คือทำให้กับมูลนิธิมะเร็งที่โรงพยาบาลรามาธิบดีเป็นหลัก เราจัดปีละครั้ง ปีนี้เป็นปีที่ 3 แล้ว แต่ที่ผ่านมาอาจจะไม่ค่อยมีข่าว จะทำในวงจำกัดเล็กๆ ไม่เน้นออกสื่อมากเหมือนปีนี้ ประกอบกับว่าสื่อก็ให้ความสนใจตรงที่ว่าด้วยเราเปลี่ยนแปลงไป เขาเชิญเราไป เขาก็ได้สีสันของเขาด้วย
ความพิเศษของคอนเสิร์ต “ขุ่นแม่ขอร้อง”
คอนเสิร์ตจะมีขึ้นวันอาทิตย์นี้ 27 สิงหาคมที่ศาลาเฉลิมกรุง ซึ่งต้อมกับ “พี่มัม ลาโคนิคส์” เคยมีโอกาสทำงานด้วยกันมานานแล้ว แต่ว่าครั้งนี้เรากับเขาเป็นสปีชีส์เดียวกันอย่างชัดเจน (หัวเราะ) การครีเอทอะไรมันเลยสนุกมาก แต่ครั้งแรกที่คุยกันไว้คอนเซ็ปต์มี 3 คน คือต้อม พี่มัม พี่เจิน (เจินเจิน บุญสูงเนิน) แต่พอดีพี่เจินยังดูแลเรื่องสุขภาพอยู่ ก็ไม่สะดวก แต่ด้วยประเพณีของเรา เราต้องทำ เพราะว่าเราตั้งใจจะทำคอนเสิร์ตครั้งนี้ เพื่ออยากจะส่งบุญให้น้องสาวที่เพิ่งเสียไป เขาก็ช่วยคิดงานมาตั้งแต่ต้น แล้วเราก็เชิญเพื่อนๆมาร่วมอีก ไม่ได้ตั้งใจจะเชิญแขกรับเชิญเยอะขนาดนี้แต่พอทุกคนรู้ เขาก็อยากจะร่วมด้วย น่ารักมาก “ตุ๊กกี้ชิงร้อยฯ” ก็ขนกองทัพมาเลย คอนเสิร์ตก็เลยอลังเข้าไปอีก

เมื่อสองขุ่นแม่เสียงทรงพลังมาเจอกัน
เป็นครั้งแรกที่ต้อมจะร้องเพลงโดยใช้เสียงผู้หญิง เลยต้องทำการบ้านหนักมาก จะมีทั้งเพลงสากลและเพลงไทยที่เป็นเพลงผู้หญิงทั้งในยุคปัจจุบันและอดีต ทีนี้มันจะเหนื่อยมาก ก็ต้องไปเทรนด์เรื่องวอยซ์กับ“ครูโรจน์” (รุ่งโรจน์ ดุลลาพันธ์) หนักมาก เพราะว่าการที่เราจะต้องใช้เสียงสอง เทคนิคมันเยอะมาก แล้วต้องประคองให้มันได้สองรอบ เอาเรื่องอยู่นะ
ปลื้มใจแค่ไหนกับงานครั้งนี้
ปลื้มแรกคือปลื้มที่ผู้ใหญ่โดยเฉพาะ “พี่แขก” (นฤมล ล้อมทอง) ที่เป็นผู้จัดการของศาลาเฉลิมกรุง คือพอโทร.ไปปรึกษาท่านปุ๊บ ท่านไฟเขียวเลย แต่เนื่องจากว่าท่านมีค่าใช้จ่าย ก็เลยตกลงกันว่าท่านขายบัตรได้เท่าไหร่ก็เอาเข้าหลวงไป แต่ในส่วนของเราก็จะหาสปอนเซอร์ที่เป็นเหมือนเจ้าประจำที่ร่วมบริจาคกับเรามา คือเราไม่ซีเรียส ต่อจะให้ได้แสนสองแสนเงินจะเข้าเต็มจำนวนไม่มีการหักค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แค่นี้ก็แฮปปี้แล้ว ส่วนปลื้มที่สองคือเพื่อนๆ ซึ่งเราต้องยอมรับเลยว่าเขารักเราเขาเป็นกัลยาณมิตรจริงๆ อย่างทีมงานก็เป็นน้องๆ ที่รู้จักกันตั้งแต่สมัยอยู่แคนาดาด้วยกัน พอรู้ว่าเราจะทำบุญ ก็เข้ามาช่วย ตอนนี้หลังเวทีที่นับๆ ยังไม่รวมวงดนตรีก็เกือบจะห้าสิบคนแล้ว ที่จะมาช่วยงาน
ย้อนวันวานเสน่ห์เสียงเพลงที่หลงใหล
เริ่มมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะว่าพ่อ-แม่ชอบฟังเพลง พี่ชาย น้องชาย เล่นดนตรี เราก็คุลกคลีตีโมงอยู่ตรงนั้นมาตั้งแต่เด็ก แต่เราเป็นคนที่ตอนเรียนต้องเรียน ถึงตอนทำงานต้องทำงาน ชีวิตมีวินัยมาก เหมือนเป็นความรับผิดชอบของตัวเอง เป็นคนไม่ค่อยผ่อนกับความคิด จริงจังกับทุกเรื่อง และชอบไปจริงจังกับเรื่องคนอื่นด้วย ของญาติ ของพี่น้อง ไม่ค่อยปล่อยให้มันล่องลอย ไม่ค่อยสบายตัว การร้องเพลงมันเลยช่วย เริ่มร้องเพลงจริงจังตอนเริ่มประกวดสยามกลการ อายุประมาณ 20 แล้วก็ทำเพลงเรื่อยมาอยู่ในวงการ ใช้ชีวิตเป็นผู้ชายปกติร้องเพลงก็เป็นสไตล์เมโทรเนี้ยบๆ แต่งตัวแบบเป็นเกย์แหละเราไม่ได้ปิด แต่เราก็ไม่ได้ลุกขึ้นมาพูดว่า เราเป็นเกย์มันเป็นไปไม่ได้ เขาไม่ได้ยอมรับอะไรขนาดนั้น แต่เราก็ไม่ได้ปิดอะไร ใช้ชีวิตปกติ แล้วนักข่าวสมัยก่อนกับสมัยนี้ต่างกัน การมีชื่อเสียงของเราในสมัยก่อน ถ้าเป็นแบบปัจจุบัน เราคงโดนควักทะลุทะลวงไปแล้ว

หลากหลายบทบาทอาชีพที่รัก
คือการเป็นนักแสดง เล่นละครส่วนใหญ่จะเล่นเป็นตัวร้าย เป็นแมงดา เป็นหัวหน้าโหดๆ แต่ว่าเป็นโหดในคราบผู้ดี หรือว่าเป็นเพื่อนพระเอก ด้วยภาพของตัวละคร ก็ต้องดีใจที่คนเขาเชื่ออย่างนั้น เราเล่นเราก็ไม่ฝืนนะ ชอบมาก เล่นละครไม่ได้เยอะมาก แต่ก็ไม่ได้น้อย แล้วพอถึงจุดหนึ่งที่อิ่มตัวมาก และก็มีแฟนแล้วด้วย เลยตัดสินใจว่าจะไปใช้ชีวิตเมืองนอก หยุดทุกอย่างเป็นจังหวะที่หายยาวเลย ตอนที่ยังรับงานอยู่ จะมีทั้งงานร้องเพลง แล้วก็เล่นละคร ชอบทั้งสองอย่าง แต่งานเพลงรักมาก สนุก ส่วนการทำผม อันนี้เป็นความชอบส่วนตัว แต่ว่าที่ได้ไปทำจริงจังคือตอนที่ไปอยู่แคนาดา ไปเรียนเป็นคอสฟูลสเกล แล้วก็เปิดร้านอยู่ที่นู่น 10 ปี คือเป็นบ้านแฟนที่เราไปอยู่ แล้วก็กลับมา คือเราคุยกับคุณแม่ทุกวัน อยู่ๆท่านก็ถามว่าเมื่อไหร่จะกลับมา เราก็มีความรู้สึกว่า แม่เป็นคนแข็งแรงนะ แต่ทำไมถามแบบนี้รู้สึกมีเซ้นส์ แม่ไม่สบายหรือเปล่า แต่แม่ก็บอกว่าไม่ คือถ้าเรากลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยก็ดี เราก็เป็นคนที่พร้อมอยู่แล้ว โอเค..ขอเวลา 2 อาทิตย์ เคลียร์ทุกอย่าง แล้วก็บอกแฟนว่าเราจะกลับเมืองไทย แฟนก็แล้วแต่เราเลย คือเขาเป็นคนที่ตามใจเรามากเกินไป จนทุกวันนี้มีความรู้สึกว่าเธอไม่น่าตามใจฉันนะ (หัวเราะ) แต่เราก็ต้องดีใจที่เราได้กลับมา และทำหน้าที่ลูก ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เพอร์เฟกท์มาก แต่เราก็ทำเต็มที่จนวินาทีสุดท้ายจนส่งแม่จากไปต่อหน้าต่อตา พอคุณแม่ไม่อยู่ เรารู้สึกว่าเรื่องใหญ่ เคว้งมาก คุณพ่อก็เป็นโรคหัวใจอีก แต่หมอเก่งจนตอนนี้คุณพ่อก็ดีขึ้น แข็งแรง ก็เป็นไปตามภาวะ เพราะท่านก็ 81 แล้ว
ประสบการณ์ชีวิตที่พร้อมจะแชร์
ล่าสุดไปออกรายการหนึ่งมา แล้วเราบอกว่าเราพอใจกับสิ่งที่เป็นทุกวันนี้ คือเราไม่ได้ทำศัลยกรรม ทำหน้าอก ตัดอะไร เราไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง แล้วพิธีกรถามว่างั้นพี่ต้อมเป็นอะไร เป็นพันธุ์ใหม่เหรอ ก็เลยบอกเขาว่า ก็แล้วแต่ เพราะว่าในโลกนี้ มันไม่ได้มีคำนิยามอะไรที่ชัดเจนอยู่แล้วในเรื่องของสภาพเพศเราชอบความอ่อนหวาน ชอบความสวยงาม ชอบรองเท้าส้นสูง แต่เราไม่ได้อยากเป็นผู้หญิง ไม่อยากมีหน้าอก เพราะเรารู้สึกว่ามันเกะกะ เราไม่ได้อยากไปเสริมไปตัดอะไรให้เจ็บตัว มีน้องคนหนึ่งเขาบอกว่า ฟังที่เราพูดแล้วรู้สึกดีจังเลย เพราะเขากำลังคิดว่าจะไปทำหน้าอก การที่เราไปทำอะไรแบบนั้นมันเหนื่อยมากเลยนะ กับร่างกาย กับใจ ทำมาแล้วจะได้อย่างที่เราต้องการหรือเปล่าเราต้องยอมรับสภาพว่าเราเกิดมากับความเป็นผู้ชายการที่เราจะลุกมาเปลี่ยนอะไร งานมันเยอะมาก สำหรับตัวเองเรารู้สึกว่า ณ วันนี้เราไม่ได้อยากได้ เราไม่พร้อม เราจะเสียใจกับความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นหรือ โดยสภาพเรารู้ตัวว่าสนุกกับตัวเราเองแบบนี้ได้ แต่วันหนึ่งที่เนื้อหนังมังสาเราเหี่ยวย่น ฮอร์โมนที่มันต้องไปตามสภาพความหยาบกร้านที่มันจะเกิดขึ้น เรารับสภาพตัวเองได้ไหม ถ้าอีก 10-20 ปี เราส่องกระจกแล้ว เราไม่ได้เป็นยายแก่ๆ เราเป็นตาแก่ๆ แต่อยู่ในสภาพยายมันไม่มีทางดูดี นี่คือสิ่งที่เผชิญอยู่ทางด้านจิต คนก็เลยจะบอกเราว่าให้อยู่กับปัจจุบัน แต่เราเป็นคนที่ไม่คิดเรื่องวันนี้ จะคิดเรื่องพรุ่งนี้ เรื่องคนข้างๆ จนพะวงไปหมด พอเราเริ่มแก่มันต่อเนื่องไปหมด แม่เสีย พ่อป่วย น้องสาวเสีย แล้วจะอะไรอีก จะกลัวมาก กลัวคนที่เรารัก ตัวเราเองจะมีอะไรไหม

สภาวะชีวิตคู่
มีแฟนที่ดีมาก อยู่กันมา 20 ปีแล้ว เขาก็ยังเสมอต้นเสมอปลาย เราก็โชคดี แล้วเราทำงานหนักมาตลอดจนไม่ค่อยได้มีเวลาที่จะมีความสุขกับเขาเลยอยากจะใช้ชีวิตแบบมีความสุขกับคนที่เรารักบ้าง พอเราเริ่มมีอาการป่วย เราเลยต่อต้านตัวเองว่าไม่นะ เราไม่อยากเป็นแต่พอจะลุกขึ้นเตรียมตัวทำงานให้น้อยลง ไปพักผ่อนใช้เวลากับแฟนให้มากขึ้น เขาก็มามีปัญหาต้องไปดูแลแม่เลี้ยงเขา ซึ่งป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ตอนนี้เราก็เลยเหมือนห่างกัน แต่ความรักเราก็ไม่ได้ห่างเรากังวลไปเองว่าอนาคตเราจะยังไง พอเราตั้งสติได้แล้วเราก็จะเป็นฝ่ายไปบอกเขาว่าไม่เป็นไร นี่แหละ..คือหน้าที่ที่สมบูรณ์ของการเป็นมนุษย์ เขาต้องกลับไปทำหน้าที่ของเขาก่อน ไม่ใช่ว่าเราเลิกกัน เราต้องซัพพอร์ตเขา ให้เขารู้สึกดีกับการที่ไปทำอะไรตรงนั้น ไม่ให้เขาห่วงหน้าพะวงหลัง
หลักในการใช้ชีวิตคู่
เราไม่อยากให้เขาทำอะไรเราก็อย่าทำอย่างนั้น แค่นี้ คือเราไม่อยากให้เขามีชู้ เราก็อย่ามีชู้ ต้องซื่อสัตย์ต่อกัน แล้วแฟนเป็นคนที่หัวโบราณมาก เขาจะระมัดระวังในการออกไปข้างนอก เราจะไม่รุ่มร่ามไม่จูงมือกัน เขาเป็นแบบนั้นเอง ไม่เคยปิด แต่ว่าไม่เคยเปิดเผยออกสื่อที่ไหนเลย เขาไม่ให้ จนมีคนมาถามต้อมว่าพูดเองเออเองหรือเปล่าว่ามีแฟน เพราะว่าไม่เคยเห็น แต่เขาก็ไป-มาเข้าร้านนั่งกินข้าวด้วยกันไปช็อปปิ้ง (ตัวเราต้องการที่จะเปิดไหม?) เราเฉยๆ เราก็เคารพ ต้องให้เกียรติเขาอย่าลืมว่าการที่เขาจะมาเป็นแฟนเรา ซึ่งตั้งนานมาแล้วมันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะว่าเราเป็นบุคคลสาธารณะไม่เคยปิดว่ามีแฟน แต่ถามว่าต้องลุกขึ้นมาประกาศให้โลกรู้ไหม เราก็ไม่ได้มีความจำเป็น

ความเป็นตัวตนที่พร้อมเปิด
มันค่อยเป็นค่อยไป เริ่มต้นจากผมร่วงเยอะเลยต้องไปปลูกผม พอกลับมาจากเมืองนอกก็ไปปลูกผมที่เชียงใหม่ น้องที่แนะนำเขาเป็นสาวประเภทสอง พอผมขึ้นเราก็แบบจะไว้ผมทรงนั้นทรงนี้เพื่อความสะใจ พอผมยาวก็ต้องเปลี่ยนการแต่งตัวให้มันเข้า ไม่ได้คิดว่าไว้ผมเพื่อที่จะแต่งหญิง คือไว้เพราะว่าอยากไว้ผมยาว แล้วพอเรามาเป็นช่างผม เราก็เล่นกับผมได้เยอะแยะมาก แรกๆ จะแต่งตัวติสๆ ทุกวันนี้ก็ยังติสอยู่นะ แต่ว่าที่มันมาบู้มก็คือส้นสูง เพราะว่าส้นสูงคือสัญลักษณ์ของเพศหญิง วันที่ซื้อรองเท้าส้นสูงคู่แรก มีความรู้สึกว่าเดินผ่านร้านแล้วมันดึงดูดมาก เอาละ..เป็นไงเป็นกัน แต่คำถามแรกคือเราจะใส่ส้นสูงไปทำไม เพราะเราก็ไม่ได้เตี้ย แต่ในเมื่อใจมันบอกว่าใส่ก็ใส่ไหม ไม่ต้องคิดเยอะก็เลยซื้อละกัน (ยิ้ม) แต่ที่สำคัญมันจะมีเบอร์ให้เราไหม สรุปว่ามี เราเป็นคนเท้าไม่ใหญ่ ทุกวันนี้คือสามารถเข้าไปซื้อเกือบจะได้ทุกแบรนด์
ครั้งแรกกับการใส่ส้นสูงต่อหน้าสาธารณชน
เขิน ไม่ค่อยมั่น (ยิ้ม) พอได้ใส่ส้นสูงจริงๆมันเดินยากและเมื่อยนะ แล้วเป็นคนที่ถ้าสูงแล้ว ต้องสูงสุด ไม่งั้น ไม่รู้จะใส่ไปเพื่ออะไร แต่ในชีวิตประจำวัน เราก็ไม่ได้ใส่ส้นสูงตลอด ถ้าวันไหนที่ไม่ได้อัดรายการก็ไม่แต่ง อย่างมากแค่ทาปาก มันเหนื่อย ถ้าเราต้องแต่งตัวตลอด การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงตัวเอง เราไม่ได้มีคำตอบในใจว่าจะเป็นผู้หญิง คำตอบของเราคือฉันจะดูละมุน ฉันจะดูหวานๆ ซอฟๆ ฉันจะอยู่บนความเหมาะเจาะพอดี ต้อมมีความเชื่ออย่างหนึ่งว่าเป็นอะไรก็ได้ แต่เป็นแล้วต้องไม่น่าเกลียด ต้องมีมารยาท ไม่ทำตัวเป็นจุดเด่น ทำให้คนเขาหมั่นไส้ จะดำรงชีวิตแบบสบายตัว หลักการของเรามีเท่านี้ การแต่งตัวก็ชอบอะไรที่มันมีคาแร็กเตอร์ เป็นกางเกงกระโปรงซะส่วนใหญ่ ถ้าเป็นกระโปรงเลยจะใส่เฉพาะขึ้นโชว์บนเวทีเท่านั้น บางคนอาจจะมองว่าแล้วจะครึ่งๆ กลางๆ ไปทำไม เราก็ถามว่าคุณเอาอะไรวัด เพราะผู้หญิงเขาก็ไม่ได้ใส่กระโปรงกันทุกวัน เราไม่ได้มีคำตอบว่าเราจะต้องมีสะโพกจะต้องใส่ยกทรง เพราะชีวิตประจำวัน เราก็ไม่ได้ใส่ เราก็แบนๆ ของเราแบบนี้ สบาย เราไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงที่มันสมบูรณ์แบบขนาดนั้น เพราะถ้าอยากเป็น เราก็ไปทำแล้วแต่นี่เราไม่ได้ทำศัลยกรรมอะไรเลยสักอย่าง เราแฮปปี้กับตรงนี้ คนที่เขาจะไม่รู้สึกแฮปปี้กับเรา ว่าน่าเกลียด เราก็ต้องยอมรับ มีคนชมว่าสวย เราก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เราไม่รู้จะเรียกตัวเองว่าสวยได้ยังไงในเมื่อทุกครั้งที่มองกระจก เราก็รู้สึกว่าเราแค่แต่งหน้าแต่งตาเพื่อจะให้ดูอ่อนหวานที่สุด แต่ไม่สามารถเป็นผู้หญิงได้ด้วยโครงหน้า ด้วยสรีระ ดังนั้นเราก็พอใจในสิ่งที่เราเป็น ณ วันนี้ แต่ในเมื่อที่เราเลือกจะอยู่ตรงนี้ งานเรายังต้องอาศัยประชาชน ความนิยมจากเขา เราก็ต้องยอมรับ ถ้าเขาจะว่า แต่ถามว่ามันจะบั่นทอนกำลังใจชีวิตไหม เราเป็นแบบนี้เราก็ต้องเตรียมรับสภาพแล้วล่ะ เราก็ยังยืนยันตลอดเวลาว่าเราไม่ได้ผิดปกติ เราแค่รู้สึกแตกต่างจากกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ เราก็เลยจะทำในสิ่งที่ใจเราบอกว่าใช่

ความรักความผูกพันกับวงการบันเทิง
ถ้าโชคดีได้กลับมายืนในวงการบันเทิงอีกครั้งหนึ่ง ก็คงมีอะไรดีๆ เข้ามาในชีวิตเยอะ เพราะมีความสุขกับงานบันเทิงมาก แต่ว่าการจะได้กลับมายืนอย่างเต็มภาคภูมิ ต้องขึ้นอยู่กับสังคม ที่จะยอมรับเรา หรือเขาเห็นอะไรบางอย่างในตัวเรา จนสามารถเอาเรากลับมาหน้าจอได้อีกครั้ง แต่ถ้าเขาไม่เห็น เราก็ต้องยอมรับมัน นี่ก็ยังแอบคิดเลยนะว่าพอเสร็จคอนเสิร์ตแล้ว เราจะมีงานต่อไหมนะ แต่เราก็เตรียมใจรับมัน คนรุ่นใหม่เราห่างมานานเขาไม่รู้จักเรา ในความเป็นตรงนี้ แต่เขารู้จักเราในการเป็นช่างผม เราก็ถือว่าตรงนั้นเป็นอาชีพหลักในการเลี้ยงชีพ แต่อาชีพเสริมที่จะเกิดขึ้น การที่ได้ไปโชว์ไปร้องเพลงเพิ่ม หรือได้เล่นละคร เมื่อมีบทบาทที่เหมาะเจาะ ซึ่งนั้นจะเป็นงานเสริมสำหรับชีวิต แต่เราไม่รู้ว่าวันหนึ่งมันจะกลับมาเป็นงานหลักหรือเปล่า เพราะว่าเรารักวงการบันเทิง รักอาชีพร้องเพลง เราเกิดมาจากตรงนี้ แต่การกลับเข้ามาเราต้องอยู่เป็นในที่ที่เหมาะสม เราต้องมองคุณค่าที่เรามี ความเหมาะเจาะในตัวเอง ไม่ว่าจะทำอะไรต้องอยู่แบบมีเกียรติในอาชีพนั้นๆ พระเอก-นางเอกยังลง เรา ณ วันนี้เป็น ขุ่นแม่…แล้วอ่ะ เราอยู่แบบขุ่นแม่ที่เขาต้องนับถือด้วย บางคำวิจารณ์มันก็เป็นมุมสะท้อนให้เรา
ถ้าอยากตัดผมกับ “ต้อม-ไกรวิทย์”
ไม่ยากค่ะ ต้อมก็อยู่สองร้านเป็นหลักคือที่เอสพลานาด กับเดอะสตรีท เพียงแต่ว่าอาจจะต้องนัดหมายก่อน เรามีลูกน้องเยอะแยะ แล้วก็เก่ง เราก็อยากให้มาทำกับลูกน้อง เพื่อเราจะได้มีเวลาบริหารเทรนลูกน้อง ถ้าเขาอยากทำกับเราจริงๆ เราก็รับค่ะ ไม่ได้หยิ่ง ไม่ได้คิวทองขนาดนั้น(ยิ้ม)
สำหรับแฟนๆ ก็ขอบคุณสำหรับการให้กำลังใจที่น่ารักสม่ำเสมอ แล้วก็คอมเม้นต์อย่างตรงไปตรงมา เราแฮปปี้ที่จะฟังมาก คำตอบของต้อมที่มีอยู่ง่ายๆ อย่างเดียวคือคิดว่าทุกคนคงจะเลือกทำให้ตัวเองมีความสุขมากที่สุดภายใต้ระยะเวลาที่เหลืออยู่ แต่ความรับผิดชอบของเราที่มีต่อแฟนคลับทั้งหลาย เราพยายามให้มันอยู่ในความพอดี ถ้าขัดหูขัดตามาก ก็ต้องขออภัย แต่ยังไงก็ต้องขอบคุณกำลังใจ ขอบคุณสำหรับการติดตาม ไม่ว่าเราจะทำอะไรเราก็หวังแค่ว่าอยากให้เขามีความสุขไปกับเราด้วย
สุขใดเล่า ไม่เท่า “สุขใจ” และสิ่งนั้นกำลังเป็น “ยาใจ” ที่สำคัญของ ต้อม-ไกรวิทย์ พุ่มสุโข
กุหลาบสีเงิน