ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/282288

รายงานพิเศษ : พ.ร.ก.จัดการคนต่างด้าวปี’60 กับผลกระทบภาคเกษตรไทย
จากการออกพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 เพื่อการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าวให้มีระบบและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เป็นการแก้ไขปัญหาแรงงานต่างด้าวและปัญหาการค้ามนุษย์ด้านแรงงานโดยมีการเพิ่มความคุ้มครองแรงงานต่างที่ถูกเอาเปรียบ และเพิ่มโทษนายจ้างทำผิดกฎหมาย
ดร.ภูมิศักดิ์ ราศรี ผู้อำนวยการศูนย์ปฏิบัติการเศรษฐกิจการเกษตร สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร (สศก.) กล่าวว่า ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตร (KU – OAE Foresight Center : KOFC) ได้วิเคราะห์สถานการณ์แรงงานต่างด้าวที่มีผลต่อเศรษฐกิจการเกษตรไทย พบว่า แรงงานภาคเกษตรมีแนวโน้มลดลง จากปี 2554 มีแรงงานภาคเกษตรอยู่ 14.88 ล้านคน ปีนี้ลดลงเหลือ 11 ล้านคน ขณะที่นอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น จาก 23.58 ล้านคน ในปี 2554 เป็น 26.4 ล้านคน ในปีนี้ ซึ่งเกิดจากปัจจัยแรงงานภาคเกษตรที่มีอยู่เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ (aging society) เพิ่มขึ้น ประกอบกับแรงงานภาคการเกษตรวัยหนุ่มสาวที่ได้รับการศึกษาเคลื่อนย้ายเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรม และเกษตรกรมีต้นทุนการผลิตสูงขึ้นจากราคาปุ๋ยเคมี สารกำจัดศัตรูพืช ค่าจ้างแรงงาน จึงเป็นเหตุให้มีการนำเข้าแรงงานต่างด้าวเพื่อลดต้นทุนการผลิตและทดแทนแรงงานของไทย
โดยแรงงานต่างด้าวที่ได้รับอนุญาตทำงานในไทยขณะนี้มีอยู่ประมาณ 1.56 ล้านคน ส่วนใหญ่เป็นแรงงานต่างด้าวสัญชาติ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ในจำนวนนี้เป็นแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในภาคเกษตร จำนวน 248,281 คน แบ่งเป็นแรงงานภาคเกษตรและปศุสัตว์ 149,799 คน และแรงงานประมง 98,482 คน สำหรับปัจจัยที่ส่งผลให้มีการเคลื่อนย้ายแรงงานต่างด้าวเข้ามาทำงานในประเทศไทยหลักๆ คือ อัตราค่าจ้างแรงงาน/เงินเดือน ซึ่งไทยมีค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 300 บาท สูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านมาก ระดับดัชนีผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (GDP) ที่สูงเป็นตัวดึงดูดคนให้เข้าไปทำงานในประเทศมากขึ้น นอกจากนี้ มาตรฐานค่าครองชีพที่ไม่สูงมากนัก ก็เป็นอีกหนึ่งแรงดึงดูดให้แรงงานต่างด้าวสนใจเข้ามาทำงานในประเทศไทย
เมื่อวิเคราะห์ผลกระทบจาก พ.ร.ก.การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ.2560 ต่อภาคเกษตรไทย ในส่วนที่เป็นผลบวก คือ การจ้างแรงงานต่างด้าวภาคเกษตรที่ได้รับอนุญาตทำงานคงเหลือทั่วราชอาณาจักร ประจำเดือนมิถุนายน 2560 จำนวน 248,281 ราย (เกษตรและปศุสัตว์,ประมง) ก่อให้เกิดผลด้านมูลค่าทางเศรษฐกิจ 17,876.23 ล้านบาท รวมถึงยังช่วยทดแทนแรงงานภาคเกษตรที่ขาดแคลน โดยเฉพาะงานที่คนไทยไม่นิยมทำ ได้แก่ งาน 3 D ได้แก่ สกปรก (dirty) อันตราย (dangerous) ยาก (difficult) นอกจากนี้ ยังมีส่วนช่วยลดค่าจ้างแรงงานภายในและลดเงินเฟ้อสินค้า เพราะการจ้างแรงงานต่างด้าวที่ราคาต่ำกว่าแรงงานไทยส่งผลต่อต้นทุนการผลิตลดลงด้วย

ในส่วนของแรงงานต่างด้าวที่ไม่ได้ถูกจัดเก็บข้อมูลในระบบหรือยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนซึ่งจากการประเมินเบื้องต้นพบว่า มีประมาณ 1 ล้านราย โดยคิดเป็นแรงงานต่างด้าวในภาคเกษตรที่อยู่นอกระบบ (เกษตรและปศุสัตว์,ประมง) ประมาณ 17% หรือ จำนวน 170,000 ราย เมื่อทำการวิเคราะห์ผลกระทบเศรษฐกิจภาคเกษตร จากกรณีที่แรงงานต่างด้าวภาคเกษตรที่อยู่นอกระบบเดินทางกลับประเทศหรือย้ายกลับถิ่นฐานเดิมของตนเอง สามารถแบ่งเป็น 3 กรณี ดังนี้ กรณีที่ 1 แรงงานต่างด้าวในภาคเกษตรที่อยู่นอกระบบขาดไป 5% ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคเกษตร สินค้าพืช จำนวน 434.31 ล้านบาท รองลงมา คือ สาขาประมง 244.80 ล้านบาท และสาขาปศุสัตว์ 174.42 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 853.53 ล้านบาท กรณีที่ 2 แรงงานต่างด้าวในภาคเกษตรที่อยู่นอกระบบขาดไป 10% ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคเกษตร สินค้าพืช จำนวน 868.62 ล้านบาท รองลงมา คือ สาขาประมง 489.60 ล้านบาทและสาขาปศุสัตว์ 348.84 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 1,707.06ล้านบาท กรณีที่ 3 แรงงานต่างด้าวในภาคเกษตรที่อยู่นอกระบบขาดไป ร้อยละ 15 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจภาคเกษตร สินค้าพืชจำนวน 1,302.93 ล้านบาท สาขาประมง 734.40 ล้านบาท และสาขาปศุสัตว์ 523.26 ล้านบาท รวมเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 2,560.59 ล้านบาท
ทั้งนี้ ศูนย์ติดตามและพยากรณ์เศรษฐกิจการเกษตรมีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย 2 ระยะ ดังนี้ ระยะสั้น ปรับบทลงโทษหรือขยายระยะเวลาการนำ พ.ร.ก. มาใช้เนื่องจากบทลงโทษที่เกิดจาก พ.ร.ก.นั้นค่อนข้างรุนแรงและกะทันหัน เกิดปัญหาการปรับตัวไม่ทัน ส่งผลกระทบผู้ผลิตหรือเจ้าของกิจการที่ทำการเกษตรโดยการจ้างแรงงานต่างด้าว ซึ่งส่วนใหญ่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมาย อีกทั้งภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมอำนวยความสะดวกในการขึ้นทะเบียน ลดความซับซ้อน ยุ่งยากเพื่อให้ผู้ประกอบการและแรงงานมีความสะดวกมากขึ้น เช่น การให้บริการของศูนย์บริการเบ็ดเสร็จ (ONE STOP SERVICE) และควรดำเนินการอย่างต่อเนื่องในการสร้างสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นและเร่งรัดให้นายจ้าง ขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าวอย่างถูกกฎหมายได้ทันระยะเวลาที่ภาครัฐพิจารณาขยายให้
ส่วนระยะยาว ควรส่งเสริมการนำเทคโนโลยีการเกษตรไปประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดปัญหาขาดแคลนแรงงาน และการจัดงบประมาณในการบริหารจัดการแรงงานต่างด้าว โดยส่วนหนึ่งได้มาจากเงินค่าธรรมเนียมต่างๆ ที่ได้จากการจดทะเบียนหรือต่ออายุแรงงานต่างด้าวที่รัฐสมทบให้อีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ ให้มีเงินงบประมาณสนับสนุนอย่างเพียงพอต่อกรรมการด้านต่างๆ ที่จะสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนในการแก้ปัญหาดังกล่าวได้