แตกใบอ่อน : ตีตรวนประมง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/281573

807934531

แตกใบอ่อน : ตีตรวนประมง

วันพฤหัสบดี ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

แม้เจ้าหน้าที่จากสหภาพยุโรป (อียู) ที่เดินทางมาตรวจสอบความคืบหน้าการดำเนินการเพื่อแก้ไขการทำประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน ไร้การควบคุม หรือ “ไอยูยู” ของประเทศไทย จะเพิ่งเดินทางกลับกันไปได้ไม่นานเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา แต่เข้าใจว่ารัฐบาลโดยเฉพาะกระทรวงเกษตรฯเหมือนจะรู้ดีอยู่แก่ใจว่าท้ายที่สุดปีนี้ ประเทศไทยก็คงไม่แคล้วต้องถูกอียูคงสถานะ “ใบเหลือง” เหมือนเดิมต่อไป โดยยังไม่มีการประกาศลดหรือเพิ่มอันดับจากเดิม

เบื้องต้น “บิ๊กฉัตร” พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรและสหกรณ์ ก็เปรยๆ ออกมาว่า แม้การเดินทางมาติดตามการแก้ปัญหาของไทยครั้งนี้ เจ้าหน้าที่อียูจะเห็นว่าเรามีการแก้ปัญหาได้ดีกว่าที่คาดหวังไว้มาก โดยเฉพาะเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย แต่สิ่งสำคัญที่ยังขาดไป คือ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบเรือของเรายังไม่มีความชำนาญมากพอ ซึ่งเรื่องนี้เป็นตัวแปรสำคัญหนึ่งของการแก้ปัญหาไอยูยู ดังนั้น หลังจากนี้จึงอาจต้องมีการหารือกับอียูเรื่องการส่งผู้เชี่ยวชาญมาช่วยฝึกให้กับเจ้าหน้าที่ไทยต่อไป

ดังนั้นนาทีนี้จึงอาจต้องเตรียมใจกันไว้ล่วงหน้าว่า ประเทศไทยจะยังคงถูก “ตีตรวน” จากปัญหาไอยูยูต่อไปอีก 1 ปี ซึ่งอีกไม่นานเราก็คงได้ทราบผลจาก “อียู” กันอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ดี ท่ามกลางความสาละวนจากการวิ่งตามแก้ปัญหาเพื่อปลดตัวเองให้พ้น “ใบเหลือง” ของอียูในครั้งนี้ ก็ยังมีอีกปัญหาที่มีความเกี่ยวเนื่องกัน และควรเป็นปัญหาที่รัฐบาลต้องให้น้ำหนักความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เสียด้วยซ้ำ นั่นคือผล
กระทบจากการประกาศใช้ “พ.ร.ก.ประมง” ที่คาราคาซังมาตั้งแต่ปี 2558 โดยเฉพาะผลกระทบจากมาตรา 34 ที่มีการกำหนดเขตประมงชายฝั่งทะเลให้ประมงพื้นบ้านสามารถออกเรือไปจับสัตว์ทะเลได้ระยะไม่เกิน 3 ไมล์ทะเล ซึ่งสร้างผลกระทบอย่างหนักกับชาวประมงไทย

ถามว่ากระทบยังไง ก็เพราะในบรรดาเรือประมงในบ้านเราส่วนใหญ่กว่าร้อยละ 80 เป็นเรือประมงขนาดเล็กหรือประมงพื้นบ้านของชาวบ้านที่อยู่ตามแนวชายฝั่ง ไม่ได้เป็นเรือขนาดใหญ่โตเหมือนอย่างที่เห็นในหนังกัน ซึ่งการ “บีบ” ให้ชาวบ้านออกเรือได้ไม่เกิน 3 ไมล์ทะเล ก็เท่ากับเป็นการจำกัดพื้นที่ทำกิน ผลที่ตามมาก็ลองนึกภาพดูว่า การให้ชาวประมงพื้นบ้านที่มีอยู่กว่า 3 หมื่นลำตลอดแนวชายฝั่งของประเทศออกมาแย่งทรัพยากรกันในพื้นที่จำกัดจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ชาวบ้านจะหากินกันพอไหม ทรัพยากรจะทรุดโทรมลงไปขนาดไหน

ที่สำคัญเรือเหล่านี้ก็เป็นเรือประมงชาวบ้านธรรมดาซึ่งไม่มีทะเบียน ดังนั้น หากชาวบ้านนำเรือออกจับปลา ก็ยังเสี่ยงต่อการทำผิดในเรื่องการห้ามเรือไร้สัญชาติทำการประมงตามมาอีกข้อ กลายเป็นความซวยซ้ำซ้อนที่รัฐประเคนให้กับชาวบ้านไป

แต่ในขณะเดียวกัน รัฐกลับทำเสมือนหนึ่งอุ้มชูเรือประมงขนาดใหญ่เชิงพาณิชย์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเปิดให้สามารถเข้าทำประมงในพื้นที่อยู่ห่างออกไปไกลเกินกว่า 3 ไมล์ทะเลขึ้นไปได้ โดยไม่อินังขังขอบเรื่องการควบคุมการทำประมงแบบ “ล้างผลาญ”
ของเรืออวนลาก เรือปั่นไฟจับปลากระตัก ที่เป็นปัญหากัดกร่อนทำลายทรัพยากรทางทะเลมาช้านาน

กรมประมงและกระทรวงเกษตรฯ อย่ามาอ้างเด็ดขาดถึงออกกฎการเปลี่ยนตาข่ายอวดจับปลาของเรือประมงพาณิชย์ ให้มีขนาดใหญ่ขึ้จาก 0.4 ซม. มาเป็นขนาด 4 ซม. เพราะลำพังมาตรการแค่นี้คงไม่พอ เนื่องจาก “ฆาตกรตัวจริง” ยังลอยอยู่กลางทะเล โดยเฉพาะเรือปั่นไฟปลากะตักที่เป็นตัวการสำคัญในการจับปลาเล็กปลาน้อย ปลาที่ยังโตไม่เต็มวัย บางทีวันดีคืนดี ไอ้เรือใหญ่เหล่านี้ก็ลอบเข้ามาในเขตต่ำกว่า 3 ไมล์ทะเล มาล้างผลาญแหล่งทำมาหากินของชาวบ้านซ้ำขึ้นไปอีก เรื่องแบบนี้รัฐกลับไม่ยอมหือ ไม่ยอมอือ ปล่อยให้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แบบนี้ก็ต้องเรียกว่าเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรมกับชาวบ้าน

อย่ามาแก้ตัวนะครับว่า กระทรวงเกษตรฯ กรมประมง ไม่รู้เรื่องและไม่ได้ปล่อยปละละเลยปัญหา เพราะในความจริงที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายประมงแห่งชาติที่มีนายกฯเป็นประธาน ก็เคยเห็นชอบให้ยกเลิกมาตรา 34 นี้มาแล้ว แต่จนแล้วจนรอด พ.ร.ก.ประมง ฉบับใหม่ที่เพิ่งเข็นออกมาก็ยังคงมาตรานี้ไว้อยู่

ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมทุกวันนี้ถึงยังมีชาวบ้านชาวประมงออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องกันอยู่อย่างไม่ยอมหยุด สาเหตุก็เป็นเพราะรัฐนั่นแหละที่ไม่เคยเห็นหัวชาวบ้าน และก็เพราะพฤติกรรมเช่นนี้แหละ ถึงทำให้แทบไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมชาวบ้านเขาถึงเกลียดรัฐกันนักหนา

นี่ยังไม่นับรวมกับเรื่องกินสินบาท คาดสินบนนะครับ

มะลิลา

Leave a comment