ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/290756

Star Retro : ผู้หญิงรวยเสียงหัวเราะ ‘อูม-วิยะดา’
ผ่านร้อน ผ่านหนาว ใช้ชีวิตในวงการมาทุกรูปแบบ สำหรับนักแสดงรุ่นใหญ่ อูม-วิยะดา อุมารินทร์ที่ทุกวันนี้คนในวงการยกให้เป็น คุณแม่ ด้วยความที่ยังโลดแล่นอย่างแข็งแรง กับงานการแสดงที่มีต่อเนื่องในวัย 62 ปี อะไรที่ทำให้ “แม่อูม” ยังสนุกและมีความสุขกับเบื้องหน้าได้นานขนาดนี้ “สตาร์เรโทร” ฉบับนี้มีคำตอบแบบหมดเปลือก
เดินเข้าสู่เส้นทางสายมายา
ตอนแรกที่เข้ามาอยู่ในวงการบันเทิง คือไม่มีอะไรเลยค่ะ มาแต่ตัว เริ่มจากศูนย์ ไม่รู้จักกับใคร ไม่มีเงินไม่มีทอง ไม่มีอาชีพอะไรเลย ก็เข้ามาเรียนการแสดงกับท่านมุ้ย (หม่อมเจ้าชาตรีเฉลิม ยุคล) ที่วังละโว้ ถ่ายหนังไปเรียนไป ตั้งแต่อายุ 17 ปี เล่นภาพยนตร์ เรื่อง “เทพธิดาโรงแรม” ของท่านมุ้ย เป็นเรื่องแรก ซึ่งก็ประสบความสำเร็จโด่งดังมาก ตอนนั้นเล่นในบทนางเอก หลังจากนั้นก็ได้มาเล่นเรื่อง “ทะเลเรืออิ่ม” และอีกหลายๆ เรื่อง จนมาโด่งดังอีกครั้งตอน “อีพริ้งคนเริงเมือง” เป็นละครช่อง 3 ประมาณ 60 กว่าตอน แต่ที่พีคสุดคือตอนเล่นบทนางร้าย เล่นเป็นเมียน้อยในเรื่อง “เมียหลวง” ซึ่งพอมาเล่นเป็นนางร้าย ปรากฏว่าสนุกกว่าบทนางเอกค่ะ (หัวเราะร่วน) แล้วหลังๆ เมื่อมาเล่นบทร้าย กลับมีงานเยอะกว่าการเล่นเป็นนางเอก

บทบาทที่หลงใหล
ดราม่า ร้องไห้ ชอบมาก อยากร้องไห้ เพราะว่าดาราสมัยนี้ทำไม่ค่อยได้ ร้องไห้ยาก แต่ว่านางเอกสมัยนี้ร้องไห้สวยนะ สั่งน้ำตาได้เลยจะเอาข้างซ้ายหรือขวาเก่งมาก เราก็จะบอกว่า เอ้ย..เราก็ทำเป็นนะ อยากจะเล่นแบบนั้น ฟีลแบบนั้นบ้าง หลังๆ ก็จะเล่นบ้าๆ บอๆ คือเขาอาจจะเห็นเราเป็นคนอารมณ์ดีก็เลยจะได้แต่บทประมาณนี้
ผลงานโดนใจ
ชอบเรื่อง “อีพริ้งคนเริงเมือง” เพราะว่าได้เล่นหลายบทบาทมาก ตั้งแต่เด็กๆ อินโนเซ้นท์ไม่รู้เรื่องเลย อยากมีสามี แล้วก็ไปมีสามี 7 คน ผจญภัยมาก (หัวเราะ) เป็นแบบอย่างให้ผู้หญิงลุกขึ้นมาสู้ สมัยก่อนผู้หญิงไม่สู้นะร้องไห้น่าสงสารตลอดเวลา แต่พริ้งพลิกคาแร็กเตอร์ให้ผู้หญิงเป็นนักสู้ทุกรูปแบบ เลยทำให้ผู้หญิงไทยก้าวมาจนถึงทุกวันนี้เลยด้วยหรือเปล่าก็ไม่รู้ (หัวเราะ) เพราะมีตัวอย่างอีพริ้งนี่แหละ

รางวัลชิ้นโบแดง
รางวัลมหกรรมหนังเอเชียแปซิฟิก เรื่อง“ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น” เมื่อปี 2520 เล่นเป็นหมอนวด บทดีๆ ทั้งนั้น (หัวเราะ) ตอนนั้นถ้าจำไม่ผิดมีหนังประกวด 16 ประเทศ พอเราได้รางวัลมาก็มีโอกาสได้ทำหน้าที่ผู้จัดละคร เลยเอาเรื่องที่เราได้รางวัลนี่แหละค่ะเรื่อง “ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น” ทำเป็นละครฉายทางช่อง 7 ซึ่งพอเอามาทำเป็นละครก็ได้รางวัลอีก เป็นผู้จัดอยู่ประมาณ 3-4 เรื่อง ห้วงรักเหวลึก, ข้าวนอกนา, ตะวันตกดิน แล้วก็ ทองพูน โคกโพ ราษฎรเต็มขั้น ก็ได้ท่านมุ้ยมากำกับ เป็นงานที่สนุกนะคะ เล่นไป วิ่งเข้าฉาก วิ่งจ่ายเงิน วิ่งแต่งหน้า ทำทุกอย่างทุกหน้าที่ ซึ่งมาถึงวันนี้ถามว่าให้เป็นผู้จัดฯอีกไหม เหนื่อยนะ ยุคนี้คนดูทีวีในโทรศัพท์กันแล้ว เราก็ไม่รู้วันข้างหน้าจะเป็นยังไง ไม่รู้ว่าเราจะทำอะไรให้กับวงการได้บ้าง ทุกอย่างเป็นไปตามยุคสมัย เราก็ต้องปรับตัวและหาช่องทางใหม่ๆ
ทิ้งความดังไปอยู่อเมริกา
ตอนนั้นจำได้ว่าก่อนจะไปเมืองนอก เล่นเป็นนางร้ายพีคสุดๆ เลย มีละคร 20 กว่าเรื่อง ภาพยนตร์อีก 20 กว่าเรื่อง ถ่ายทุกวันเลย จนกระทั่งงานเริ่มซาๆ ลงบ้าง ก็เลยไปอยู่อเมริกา อยากไปอยู่เอง เพราะเราเบื่อบทที่ได้เล่นซ้ำๆ ซากๆ ยุคนั้นเล่นจนไม่มีอะไรจะเล่น พอเราหมดบทที่อยากจะเล่นแล้วก็ไป แล้วก็ไปอยู่ที่โน่นกับลูกชาย (คุณชายเอี่ยว-ม.ร.ว. มงคลชาย ยุคล) เราเองก็ไปเรียนหนังสือด้วย เรียนที่มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ สหรัฐอเมริกา อยู่กันตาประสาแม่ลูก ทำฟาร์มปลาทำโน่นนี่นั่น ใช้ชีวิตอยู่ที่โน่น 12 ปี ลูกจบไฮสคูลแล้วเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยยูซีแอลเอ เราแม่ลูกก็เรียนไปด้วยกันมีความสุขดีค่ะ

กลับมาดังอีกครั้ง
ยังไม่ทันออกจากอุโมงค์เครื่องบินเลย โทรศัพท์มาแล้ว กันตนาโทร.มาให้ไปเล่นเรื่อง“บิ๊กเสี่ย” ปี 2540 ซึ่งตอนที่กลับมาอายุ 45 ปี เลยได้เล่นเป็นแม่ (หัวเราะร่วน) มีอยู่พักหนึ่งปีที่แล้ว ได้เล่นเป็นแม่นม 5 เรื่อง ปีนี้ก็มีแม่นมหลุดมาอีกเรื่องหนึ่ง (หัวเราะ) แล้วเมื่อก่อนเคยถ่ายหนักนะ วันละ 4 เรื่อง เสื้อผ้าอยู่ในรถหมดเพราะเราเล่นได้ทุกช่อง ไม่มีสังกัด ไม่มีเหนื่อย สนุกมากไม่เคยว่างเป็นปีเลยนะ จะมีสมุดอยู่เล่มหนึ่งไว้จดงานของแต่ละปี ฉะนั้นแน่นอน หนัง-ละคร ที่ผ่านมาเอาเป็นว่าก่อนจะไปเมืองนอก ในระยะเวลา 10 กว่าปีเล่นประมาณ 300 เรื่อง แล้วก็มีละครอีกประมาณ200 เรื่อง รวมไปถึงละครเวที ก็เคยเล่นเรื่อง “พระนางจามเทวี จักรพรรดิณี ศรีหริภุญชัย” ซึ่งก็เล่นหลายรอบมาก ไปเล่นที่ลำพูน 10 กว่ารอบ ทัวร์ต่างจังหวัดด้วย จนกระทั่งมา 2-3 ปีหลัง ก็ได้เล่นเเป็นป้า เป็นย่า แต่จริงๆ จะเล่นบทไหนเราก็ดีใจนะ แค่ได้เล่นละคร เราชอบบรรยากาศกองถ่าย เราได้แต่งหน้าทำผม คุยกับคนโน้นคนนี้ ได้หัวเราะ
แฟนๆ จำได้หายเหนื่อย
ดีใจที่คนในวงการให้การต้อนรับ ทุกคนจำได้ คือเราถ่ายละครเยอะมากไม่รู้หรอกว่าเรื่องไหนออกอากาศก่อนหลัง เมื่อล่าสุดเดินๆ อยู่ มีคนมาด่าทำไมใจร้ายจัง ปากจัด เราก็งง เฮ้ย…วันนี้ใจดีนะ หัวเราะให้ฟังก็ได้ (หัวเราะร่วน) ใจดีนะ มาว่าฉันใจร้ายได้ไง เขาก็เลยบอกว่า ในละครเมื่อคืนนี้ ใจร้าย ตบตีหลานอยู่ได้กับลุง หื่น เราก็อ๋อ นึกออกแล้วว่าเรื่องอะไร “หลงไฟ” นี่เอง คือเราไม่รู้ไงว่าเรื่องนี้ออนแอร์แล้ว พอรู้ก็ไปหาย้อนหลังดูใหญ่เลย (หัวเราะ) ฟีดแบ๊กดีค่ะ เดินไปไหนคนดูเรื่องนี้ เราก็ยังคิดว่า เอ๊ะ..เราก็มีละครเรื่องอื่นออนแอร์อยู่พร้อมกันวันเดียวกัน กลายเป็น
ว่าคนติดเรื่องนี้
ย้อนเส้นทางชีวิตรัก
ตอนนั้นไปดูหนังเรื่อง “เขาชื่อกานต์” ของท่านมุ้ยที่ฉาย แล้วท่านนั่งอยู่หน้าโรง ท่านเห็นก็ถามว่าเราเป็นใคร แล้วท่านก็ส่งแมวมองไปตามตัวเรา ให้มาลองเทสต์เรื่อง “เทพธิดาโรงแรม” หลังจากนั้นความรักสุกงอมกลางกองถ่าย มีลูกตั้งแต่เล่นหนังเรื่องแรก “เทพธิดาโรงแรม” หนังฉายคลอดลูกพอดี ถ่ายไปท้องไป (หัวเราะร่วน) ทำงานด้วยกันก็รักกัน มีลูกด้วยกัน 1 คน คุณชายเอี่ยว ตอนนี้อายุ 42 ปี แล้วพอไม่รักกันก็เลิกกันไป แต่ก็ยังเป็นพ่อ เป็นแม่ของลูกอยู่ ช่วยกันดูแลลูก

ความลงตัวของลูกหลานที่แสนแฮปปี้
ลูกชายมีภรรยาแล้ว ซึ่งมีหลาน 4 คน แม่อูมก็เป็นคุณย่าแล้ว แฮปปี้ค่ะ ไม่เหงาเลย หลานๆ น่ารักทุกคน แต่ละคนมีคาแร็กเตอร์ของตัวเอง เป็นหลานสาว 3 คน หลานชาย 1 คน คนโตอายุ 23 ปี และ 19 ปีส่วนสองคนเล็ก อายุ 8 ปี กับ 6 ปี ฉะนั้นกิจกรรมยามว่างก็เลี้ยงหลานทั้งหมด 4 คน ส่วนลูกชายก็ไปอยู่ที่จังหวัดเลยไปทำสวน ทำนา ไปๆ มาๆ เขาก็ไปเล่นหนังให้หม่อมน้อยด้วยนะ เรื่อง “สุริโยไท” เป็นสมเด็จพระเพทราชา แล้วก็ช่วยท่านพ่ออยู่เบื้องหลังบ้าง
เรียนรู้การใช้ชีวิตครอบครัว
ก็มีทั้งลูกและหลาน ก็จะมีความรู้สึกว่า ใจเย็นดีที่สุด ยิ้มไว้ อะไรก็แล้วแต่ อย่าปรี๊ด วี๊ดร้อง อย่าสติแตกใส่กัน ไม่งั้นจะมีแต่ความรุนแรงในครอบครัว ถ้ามีเรื่องอะไรที่อดทนไม่ได้ แม่อูมก็จะวิ่งไปกรี๊ดในห้องคนเดียว แล้วก็ค่อยออกมา แต่เราจะไม่ทำให้เขาเห็นเราทำให้ตัวเราดูได้ (หัวเราะร่วน) ปลดปล่อยไป เราบอกลูกสะใภ้เสมอเลยว่า อย่าไปตะโกนใส่ลูก กระซิบข้างหูให้เขาได้ยินคนเดียว อย่าไปประจานเขา ถ้าเป็นความผิดเขาจะสำนึกมากกว่าที่เราไปตะโกนว่าด่าประจานเขา เราเองก็เหมือนกัน พยายามตั้งสติให้ดี อายุป่านนี้แล้ว 62 ปี ก็ต้องมีสติก็ยังไหว รับงานตลอดนะคะ ถ้าไม่มีงานสักอาทิตย์ก็เริ่มหงอยแล้ว จะพาลไปทะเลาะกับคนอื่น
หัวใจชุ่มชื่น
ความรักก็ไม่มีอะไรหวือหวา กิ๊กๆ กั๊กๆ ก็มีมา คนโน้นก็มาจีบ คนนี้ก็มาจีบ ตอนนี้ก็ยังมีอยู่ ยิ่งสมัยนี้มีไลน์ก็จะไลน์มาสวัสดี ฮัลโหล เราก็ไม่ได้สนใจแล้ว ซึ่งก็มีถึงขนาดมาขอเป็นแฟนนะ เป็นคนเก่าคนแก่ที่เคยรู้จักกัน หลงรักมานานแล้วก็มี เป็นแฟนกันไหมแก่ๆ กันแล้ว เราก็จะบอกว่าไม่พร้อม ไม่เอาหรอก อยู่คนเดียวดีกว่า ไม่อยากมีปัญหา เป็นเพื่อนคุยกันแบบนี้แหละดีแล้ว อยากไปเที่ยว กินข้าว เต้นรำ ก็ทำไป

มุมมองของวงการบันเทิง
สมัยนี้รายได้ดีมากค่ะ สมัยก่อนละครที่เราเล่นเรื่องแรกค่าตัว 2,000 บาทต่อหนึ่งตอน ถ้าเป็นตอนนี้ก็ 10 เท่า พระเอก-นางเอกก็เพิ่มเยอะมาก ตอนนั้นกลับมาจากเมืองนอกใหม่ๆ ถามเรื่องค่าตัวเท่าไหร่เราบอกเลยรับ 2,500 เขาก็ตกใจ แล้วเขาก็บอกว่าตอนนี้เป็นหมื่นแล้ว เราก็เลยแบบว่า เท่าไหร่ก็เอา (หัวเราะ)
วงการบันเทิงให้อะไรบ้าง
นอกจากจะให้อาชีพเราถาวรแล้ว คือทุกคนไม่ลืมเรียกให้เรามีงานเล่นอยู่ตลอดเวลา เราก็มีความรู้สึกว่าเมื่อเราเป็นคนในวงการบันเทิงแล้ว แน่นอนมีคนจับตามองเราอยู่ ฉะนั้นเราก็ต้องทำตัวให้ดียิ่งขึ้น อย่างตอนที่อยู่อเมริกาก็จะทำตัวบ้าๆ บอๆ ม้วนผมใส่ชุดนอนไปเดินห้าง เราทำได้นะ แต่พอมาอยู่เมืองไทยเราเป็นคนของประชาชน เราทำไม่ได้ แล้วเราก็มีลูกมีหลาน คนก็เรียกแม่กันทั้งประเทศ เราก็เลยต้องบังคับตัวเองให้เป็นคนดี (หัวเราะ) ทั้งที่บางทีก็อยากจะสติแตกบ้างก็มี อยากจะปรี๊ดบ้าง ก็ต้องคุมสติไว้ แต่ก็ดีนะคะ ทำให้เราควบคุมสติได้ เวลาอยู่กองถ่ายไม่ไปทำให้คนอื่นเขาเดือดร้อน เสียใจ แล้วจะมองหน้ากันไม่ติดเปล่าๆ

ถ้าไม่ทำงานในวงการ
มีบ้านอยู่ที่จังหวัดเลยค่ะ คงจะไปปลูกผัก เลี้ยงเป็ด เลี้ยงไก่ ปลูกข้าวตามประสา เพราะที่เลยอากาศดีมาก มีโอกาสก็จะบินกลับไปอยู่บ่อยๆ
บั้นปลายชีวิต
เล่นละครไปเรื่อยๆ ค่ะ จะให้เล่นอะไรก็รับหมด เป็นหมอผีก็เอา (หัวเราะ) พอเราแก่ตัวไป ถ้ามีคาแร็กเตอร์ไหนที่เหมาะกับเราก็รับ เพราะว่าคนมีอายุส่วนมาก ก็จะจำอะไรไม่ค่อยได้
สิ่งที่อยากแนะเด็กรุ่นใหม่
ตอนนี้แม่รู้สึกว่าดาราเป็นขั้นเทพ เราต้องไปเอาใจ หาโน่นนี่นั่นให้กิน ต้องเอาใจสารพัด ถ้าเป็นผู้จัด บางคนขุดมาจากที่นอน สมองก็ไม่ได้เอามา บทก็ไม่ท่อง คือบทไม่เคยอ่าน ไม่ค่อยทำการบ้าน มาอ่านหน้าเซต พอเราแสดงร่วมด้วยก็ไม่มีรีแอ๊กชั่น เราด่าเองยังแบบ เฮ้ย..นี่เราด่าคุณอยู่นะ ทำหน้าเหมือนคนโดนด่าหน่อยสิต้องบอกเขาอย่างนี้ แม่อยากให้เราทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดในวินาทีนี้ เตรียมตัวให้ดีที่สุดก่อนที่จะเข้ามาลุยงานตรงนี้ ส่วนหลังจากเลิกงานแล้วอยู่ที่นิสัยใจคอ กิจวัตรประจำวัน ยังไงก็อยากให้ทำดีไว้เยอะๆ เพราะว่าเราไม่รู้หรอกว่าวันหนึ่งเราจะเป็นยังไง

ประสบการณ์ชีวิตของผู้ใหญ่ คือหนังสือเรียนชั้นเอก ที่ อูม-วิยะดา อุมารินทร์ ไม่เคยคิดเก็บ แต่อยากส่งต่อถึงเด็กๆ ให้ได้เรียนรู้ทำความเข้าใจ
กุหลาบสีเงิน