ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/287124

รายงานพิเศษ : ‘เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา’ เพิ่มศักยภาพแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงให้ความสำคัญในเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำ ได้มีพระราชกระแสให้เร่งรัดงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ให้แล้วเสร็จ เพื่อให้สามารถบรรเทาความเดือดร้อนของราษฎรได้ตามพระราชประสงค์
นอกจากนี้ พลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ยังมีนโยบายสำคัญให้กรมชลประทานน้อมนำ “ศาสตร์พระราชา” มาใช้การแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำของประเทศอีกด้วย
กรมชลประทาน ในฐานะหน่วยงานหลักที่การรับผิดชอบเรื่องน้ำของประเทศ ได้น้อมนำพระราชกระแสของรัชกาลที่ 10ดังกล่าว มาดำเนินโครงการสืบสานงานโครงการชลประทานอันเนื่องมาจากพระราชดำริแบบบูรณาการร่วมกับมูลนิธิปิดทองหลังพระ โดยนำศาสตร์พระราชาตามนโยบายของกระทรวงเกษตรฯ มาใช้ในการพัฒนาและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้น้ำจากโครงการชลประทานขนาดเล็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ในการดำเนินโครงการดังกล่าว กรมชลประทานจะนำองค์ความรู้ 6 มิติ ของในหลวง รัชกาลที่ 9 ซึ่งประกอบด้วย น้ำ ดินเกษตร พลังงานทดแทน ป่า และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งหลักการพัฒนาตามแนวพระราชดำริ คือ การเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ตลอดจนหลักการทรงงานและหลักการโครงการมาใช้ในการดำเนินงาน
ทั้งนี้จากการสำรวจโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริทั่วประเทศ พบว่า ในปัจจุบันมีโครงการที่ยังไม่มีระบบชลประทานทั้งหมด 1,645 โครงการ มีทั้งที่เป็น ฝาย อ่างเก็บน้ำและรูปแบบอื่นๆ กระจายอยู่ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ ซึ่งกรมชลประทานจะเร่งศึกษาวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อมให้ครอบคลุมในทุกมิติและได้บรรจุในแผนยุทธศาสตร์น้ำของชาติในช่วงปี 2561-2564 โดยมีเป้าหมายที่จะดำเนินการก่อสร้างระบบชลประทานให้เพียงพอกับความต้องการของประชาชนในทั่วทุกภาคของประเทศ จะได้มีแหล่งน้ำสำหรับเพื่อการอุปโภคบริโภคและทำการเพาะปลูกได้ตลอดทั้งปี
อย่างไรก็ตาม เพื่อให้เห็นแบบอย่างการทำงานที่เป็นรูปธรรม กรมชลประทานได้เริ่มดำเนินโครงการดังกล่าวที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นจังหวัดที่กรมชลประทานได้ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริด้านการพัฒนาแหล่งน้ำ รวมทั้งสิ้น 242 โครงการ โดยเป็นโครงการที่มีระบบชลประทานจัดส่งน้ำแล้ว 187 โครงการ และอีก 55 โครงการ ยังไม่มีระบบชลประทานต้องส่งน้ำตามลำน้ำเดิม ซึ่งกรมชลประทานตั้งเป้าหมายที่จะดำเนินการเพิ่มศักยภาพการใช้น้ำ ด้วยการปรับปรุง พัฒนา และต่อยอดโครงการให้ครบทั้ง 242 โครงการ
ในเบื้องต้นได้ได้ร่วมกับประชาชน และกลุ่มผู้ใช้น้ำพิจารณาคัดเลือกโครงการพัฒนาแหล่งน้ำขนาดเล็กอันเนื่องมาจากพระราชดำริและโครงการชลประทานขนาดเล็กที่ส่วนราชการถ่ายโอนให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แล้วมีการชำรุดเสียหายจากการใช้งานตามระยะเวลา ต้องมีการปรับปรุงบำรุงรักษา เช่น ฝายห้วยส้าน ตำบลจอมหมอกแก้ว อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ซึ่งเป็นโครงการที่กลุ่มผู้ใช้น้ำต้องดำเนินการปรับปรุงเพิ่มประสิทธิภาพให้สามารถใช้งานได้ดีกว่าเดิม และพร้อมที่จะร่วมกันลงแรงในการดำเนินงานโดยมีภาครัฐและเอกชนร่วมกันสนับสนุนงบประมาณและวัสดุอุปกรณ์มาดำเนินโครงการเป็นนำร่องก่อน
สำหรับโครงการพัฒนาแหล่งน้ำอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่ชาวบ้านได้เสนอแนวทางในการพัฒนาเพื่อต่อยอดให้ใช้ประโยชน์ได้เพิ่มขึ้น อาทิ โครงการอ่างเก็บน้ำแม่ข้าวต้มท่าสุด อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตั้งอยู่ที่บ้านแม่ข้าวต้มท่าสุด หมู่ที่ 10 ตำบลท่าสุดอำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ก่อสร้างตามคำร้องขอของราษฎรในพื้นที่ที่ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากขาดแคลนน้ำ จึงขอพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณในการก่อสร้างอ่างเก็บน้ำแม่ข้าวต้มท่าสุดในปีงบประมาณ 2538 เป็นอ่างเก็บน้ำขนาดเล็กมีความระดับเก็บกักอยู่ที่ 520,000 ลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) โดยมีพื้นที่รับน้ำฝน7.00 ตารางกิโลเมตร และปริมาณน้ำทั้งปีที่ไหลลงอ่างฯประมาณ4 ล้านลบ.ม. ก็จะเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคให้กับราษฎรในพื้นที่ได้ จำนวน 6 หมู่บ้าน ได้แก่ หมู่ที่ 2 บ้านสันต้นกอกหมู่ที่ 3 บ้านแม่ข้าวต้มท่าสุด หมู่ที่ 4 บ้านห้วยเคียน หมู่ที่ 5บ้านบ่อทอง หมู่ที่ 8 บ้านศรีวิเชียร และหมู่ที่ 10 บ้านแม่ข้าวต้มท่าสุดรวมจำนวนทั้งสิ้น 2,262 ครัวเรือน มีประชากรได้รับประโยชน์ 5,198 คน และยังสามารถช่วยพื้นที่เพาะปลูกได้ถึง 1,200 ไร่ และกลุ่มผู้ใช้น้ำมีแนวคิดที่จัดทำการเกษตรแบบเกษตรแปลงใหญ่ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ถือเป็นการบูรณาการให้มีการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด
โครงการอ่างเก็บน้ำแม่มอญ อันเนื่องมาจากพระราชดำริตั้งอยู่ที่บ้านป่าซางใต้ หมู่ที่ 2 ตำบลโป่งแพร่ อำเภอแม่ลาว จังหวัดเชียงราย ซึ่งราษฎรในพื้นที่ได้ขอพระราชทานสร้างอ่างฯในปีงบประมาณ 2532 ความจุในระดับเก็บกักอยู่ที่ 960,000 ลบ.ม.โดยมีพื้นที่รับน้ำฝน 12.00 ตารางกิโลเมตร ปริมาณน้ำทั้งปีที่ไหลลงอ่างอยู่ที่ 7.44 ล้านลบ.ม. ในแต่ละปีก็จะช่วยกันทำความสะอาดเขื่อนและคลองส่งน้ำปีละ 2 ครั้ง แต่ด้วยคลองส่งน้ำยังเป็นคลองดินจึงเกิดการสูญเสียน้ำและดูแลรักษาลำบาก กลุ่มผู้ใช้น้ำจึงต้องการปรับให้เป็นคลองดาดคอนกรีต และต้องการวางระบบคลองส่งน้ำจากสายซอยเข้าสู่ในแปลงน้ำหรือคลองไส้ไก่ โดยจากการพูดคุยหากมีวัสดุอุปกรณ์ ชาวบ้านจะช่วยกันลงแรงในการทำงาน เพื่อให้สามารถใช้น้ำจากโครงการที่ได้รับพระราชทานจากในหลวง รัชกาลที่ 9 ให้เกิดสูงสุด ซึ่งหากมีการเพิ่มศักยภาพในการบริหารจัดการน้ำของอ่างเก็บน้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะเป็นแหล่งน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภคให้กับราษฎรในพื้นที่ จำนวน 490 ครัวเรือนประชากร 1,082 คน และสามารถส่งน้ำสนับสนุนพื้นที่เกษตรกรรมได้200 ไร่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร แม้พระองค์ท่านจะเสด็จสู่สวรรคาลัยแล้ว แต่ “ศาสตร์พระราชา” ที่พระราชทานไว้ กระทรวงเกษตรฯได้นำมาต่อยอด ขยายผล สร้างความมั่นคงในเรื่องน้ำให้กับประเทศชาติ และสร้างความมั่นคงให้กับอาชีพการเกษตรได้อย่างยั่งยืน