ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/288841

รายงานพิเศษ : ศาสตร์พระราชารับมือน้ำเหนือ…ลุ่มเจ้าพระยาพ้นวิกฤติ!
“พายุเซินกา” พัดผ่านประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง น้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะที่จังหวัดสกลนคร ร้อยเอ็ด ยโสธร และอุบลราชธานี สร้างความเสียหายให้กับชีวิต ทรัพย์สิน และผลผลิตทางการเกษตร แต่ในพื้นที่ภาคกลางโดยเฉพาะลุ่มเจ้าพระยานั้น แม้จะมีฝนตกอย่างต่อเนื่องแต่ก็ไม่ได้สร้างความเสียหาย พืชผลทางการเกษตร สามารถเก็บเกี่ยวข้าวนาปีได้โดยไม่ได้รับความเสียหายใดๆ
ล่าสุดกรมอุตุนิยมวิทยา โดย นายวันชัย ศักดิ์อุดมไชย อธิบดีกรมอุตุนิยมวิทยา ได้ออกมาเตือนว่า ในช่วงเดือนสิงหาคม-กันยายน 2560 ยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่น โดยเฉพาะในภาคกลาง และภาคใต้ฝั่งตะวันตกกับมีฝนหนักหลายพื้นที่และหนักมากบางแห่ง อาจก่อให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันน้ำป่าไหลหลาก รวมทั้งน้ำล้นตลิ่งในบางแห่ง จากนั้นถึงจะลดลงและเข้าสู่ฤดูหนาวในเดือนตุลาคม 2560
กรมชลประทาน ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักที่รับผิดชอบเรื่องน้ำของประเทศ ได้วางแผนรับมือน้ำเหนือที่อาจจะไหลหลากลงมา โดยนำ “ศาสตร์พระราชา” ในเรื่องของแก้มลิงมาขยายผลใช้ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วม ตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ “โครงการบริหารจัดการน้ำแบบประชาชนมีส่วนร่วม พื้นที่ทุ่งหน่วงน้ำบางระกำ” หรือ “โครงการบางระกำโมเดล 60” จึงเกิดขึ้น โดยเปลี่ยนปฏิทินการทำนาปีของเกษตรกรทุ่งบางระกำ ซึ่งเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำใน 2 จังหวัด คือ พิษณุโลก สุโขทัย
นายสัญชัย เกตุวรชัย อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนปฏิทินในการทำนาปีของเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว นอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงที่ผลผลิตข้าวจะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วมแล้ว ยังส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภาครัฐเองก็ยังสามารถประหยัดงบประมาณที่จะจ่ายเงินชดเชยค่าความเสียหายจากน้ำท่วม และที่สำคัญหลังจากเกษตรกรเก็บเกี่ยวผลผลิต ยังสามารถใช้พื้นที่ดังกล่าวเป็นแก้มลิงธรรมชาติ รองรับน้ำในฤดูน้ำหลาก เพื่อลดผลกระทบจากอุทกภัยที่จะเกิดขึ้นในเขตชุมชน พื้นที่เศรษฐกิจ และสถานที่ราชการของจังหวัดสุโขทัย ตลอดจนเป็นการหน่วงน้ำรอการระบายไม่ให้เกิดผลกระทบกับลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างอีกด้วย โดยจะควบคุมระดับน้ำท่วมไม่ให้กระทบต่อที่อยู่อาศัยและการสัญจรของราษฎร ซึ่งจะสามารถเก็บกักน้ำได้สูงสุดประมาณ 400 ล้านลบ.ม. ในระยะเวลาประมาณ 3-4 เดือน
นอกจากนี้ยังจะช่วยส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เสริมจากการทำอาชีพประมง ซึ่งเป็นวิถีชีวิตของเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำ และการปล่อยน้ำให้ท่วมนาในช่วงนี้ จะทำให้ปลาชุกชุมมากเป็นพิเศษ เนื่องจากเมล็ดข้าวที่ร่วงหล่นในช่วงเก็บเกี่ยวหรือเกิดขึ้นมาใหม่ จะเป็นอาหารอย่างดีของปลา รวมทั้งน้ำที่เก็บกักไว้ยังสามารถนำมาบริหารจัดการใช้เป็นน้ำต้นทุนในการทำนาปรัง และการอุปโภคบริโภคเป็นการใช้น้ำให้เกิดประโยชน์สูงสุดอีกด้วย
โดยปกติเกษตรกรในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งอยู่ในพื้นที่ลุ่มน้ำยมตอนล่าง จะทำนาปีในช่วงเดือนสิงหาคม-ตุลาคม เพราะต้องรอน้ำฝนก่อน เนื่องจากไม่มีแหล่งกักเก็บน้ำต้นทุนภายในลุ่มน้ำ จึงมีความเสี่ยงสูงที่ผลผลิตจะได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม กระทรวงเกษตรฯโดยกรมชลประทานจึงได้ปรับเปลี่ยนปฏิทินการทำนาปีใหม่ ให้มาทำนาปีตั้งแต่เดือนเมษายน 2560 จากเดือนเมษายน2560 ที่ผ่านมา จนถึงปัจจุบัน “โครงการบางระกำโมเดล 60” การดำเนินงานประสบผลสำเร็จตามแผนที่วางไว้
นายชำนาญ ชูเที่ยง ผู้อำนวยการโครงการส่งน้ำและบำรุงรักษายมน่าน กรมชลประทาน กล่าวว่า ขณะนี้ เกษตรกรได้เก็บเกี่ยวข้าวเสร็จทั้งหมดแล้ว และกรมชลประทานเริ่มระบายน้ำจากแม่น้ำยมสายเก่าและแม่น้ำยมสายหลัก เข้าไปกักเก็บไว้บ้างแล้วประมาณ 100,000 ไร่ ในอัตราเฉลี่ยประมาณ 150 ลูกบาศก์เมตร(ลบ.ม.) ต่อวินาที หรือวันละ 12 ล้านลบ.ม. รวมปริมาณน้ำที่มีอยู่ทั้งในคลองและในทุ่งบางละกำแล้วประมาณ 120 ล้านลบ.ม. ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกประมาณ 280 ล้าน ลบ.ม.
“แม้การเก็บเกี่ยวข้าวของเกษตรกรบางส่วนอาจจะล่าช้าไปบ้าง แต่สามารถเก็บเกี่ยวข้าวได้ทุกแปลง โดยที่ไม่ได้รับความเสียหายจากน้ำ” นายชำนาญกล่าว
การวางแผนใช้พื้นที่ลุ่มต่ำเป็นแก้มลิง ตามศาสตร์พระราชานั้น กรมชลประทานไม่ได้ดำเนินการแค่ “โครงการบางระกำโมเดล 60” เท่านั้น ยังมีการขยายผลไปยังพื้นที่ลุ่มต่ำอื่นๆ ที่มีลักษณะภูมิประเทศที่ใกล้เคียงหรือคล้ายคลึงกัน เช่น ทุ่งบางบาล ที่จะใช้เป็นพื้นที่รับน้ำในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างก่อนที่จะเข้าสู่กรุงเทพฯและปริมณฑล ซึ่งมีพื้นที่กว่า 30,000 ไร่ ครอบคลุม 4 อำเภอ อำเภอเสนา อำเภอผักไห่ อำเภอบางบาล จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และอำเภอป่าโมก จังหวัดอ่างทอง สามารถหน่วงน้ำรอการระบายได้ประมาณ 75 ล้าน ลบ.ม.
นายพงศ์ศักดิ์ อรุณวิจิตรสกุล ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 11 กรมชลประทาน ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่ปริมณฑลรอบกรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย จังหวัดนนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และสมุทรสาคร กล่าวว่ากรมชลประทานได้ขอความร่วมมือจากเกษตรกรในพื้นที่ลุ่มต่ำบริเวณทุ่งบางบาล ให้ปล่อยพื้นที่นาให้ว่างหลังจากเก็บเกี่ยวข้าวนาปรังในเดือนกันยายน 2560 ที่จะถึงนี้ อย่าเพิ่งทำนาปีต่อเนื่อง เพื่อเตรียมสำรองพื้นที่ไว้ใช้เป็นแก้มลิงธรรมชาติ ตัดยอดน้ำที่จะไหลลงสู่กรุงเทพฯและปริมณฑล
แต่สถานการณ์น้ำจะต้องวิกฤติจริงๆ ถึงจะปล่อยน้ำเข้าพื้นที่นาดังกล่าว
อย่างไรก็ตามสถานการณ์ในพื้นที่ลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างขณะนี้ยังไม่วิกฤติ ปริมาณน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาก่อนที่จะไหลเข้าสู่เขตกรุงเทพฯ ณ สถานีวัดน้ำบางไทรยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ล่าสุดอัตราการไหลเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 1,568 ลูกบาศก์เมตรต่อวินาที ยังต่ำกว่าเกณฑ์วิกฤติคือ 3,000-3,500 ลูกบาศก์ต่อวินาที ซึ่งกรมชลประทานได้ใช้โอกาสนี้ในการพร่องน้ำในคลองสายต่างๆ เขตปริมณฑลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมและปลอดภัย เพื่อรองรับปริมาณน้ำเหนือที่จะไหลลงมาในช่วงสิงหาคม-กันยายนนี้
“สถานการณ์น้ำในพื้นที่ปริมณฑลในขณะนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง ไม่มีสัญญาณใดๆ ที่จะเกิดน้ำท่วม ปริมาณน้ำเหนือที่ไหลลงมาทั้งในแม่น้ำเจ้าพระยา และแม่น้ำท่าจีน อยู่ในเกณฑ์ปกติ ส่วนปริมาณน้ำในเขื่อนที่มีผลกระทบต่อลุ่มเจ้าพระยา คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดน และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ยังมีปริมาณน้ำเพียงร้อยละ 55 ของปริมาณความจุเท่านั้น ยังสามารถรองรับน้ำได้อีกกว่า 10,000 ล้านลูกบาศก์เมตร” ผู้อำนวยการสำนักงานชลประทานที่ 11 กล่าว
ขณะนี้เริ่มเข้าสู่ช่วงปลายฤดูฝนแล้ว แม้จะมีฝนตกหนักบ้างในบางพื้นที่ แต่สำหรับลุ่มเจ้าพระยาแล้วปัจจัยต่างๆที่จะส่งสัญญาณว่าจะเกิดน้ำท่วมใหญ่เหมือนปี 2554 ยังไม่มีเลย ในขณะที่การเตรียมพร้อมรับมือ ตามแนวทาง “ศาสตร์พระราชา” ของกรมชลประทาน มีความพร้อมเต็ม 100%
ปี 2560 ลุ่มเจ้าพระยาไม่เกิดมหาอุทกภัยซ้ำรอยปี 2554 แน่นอน…..ฟันธง!!