แตกใบอ่อน : ลูกอีช่าง‘ยื้อ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/291943

807934531

แตกใบอ่อน : ลูกอีช่าง‘ยื้อ’

วันพฤหัสบดี ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ไม่ผิดคาดสักเท่าไรกับการออกมาแสดงท่าทีของ “กรมวิชาการเกษตร” เกี่ยวกับการพิจารณายกเลิกวัตถุอันตราย 3 ชนิด ที่ประกอบไปด้วย พาราควอต คลอร์ไพริฟอส และไกลโฟเซต ภายหลังจากที่ประชุม “คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง” ที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน มีมติตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา ให้ออกประกาศยกเลิกการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืช 2 ชนิด ได้แก่ พาราควอต และคลอร์ไพริฟอส ภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2562 และภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2560 ต้องยุติการนำเข้าสารเคมีทั้ง 2 ตัว เนื่องจากพาราควอต จัดเป็นยาพิษที่มีความรุนแรง ไม่สามารถหายาถอนพิษได้ 47 ประเทศทั่วโลกยกเลิกการใช้แล้ว ส่วนคลอร์ไพริฟอส ทำให้เกิดความผิดปกติด้านพัฒนาสมอง ไอคิวเด็กลดลง สมาธิสั้น กระทบต่อระบบต่อมไร้ท่อ การเจริญเติบโต และเสี่ยงเป็นพาร์กินสัน

ส่วนเจ้า “ไกลโฟเซต” ซึ่งเป็นยาฆ่าหญ้า ที่ประชุมมีความเห็นให้กำหนดโซนการใช้อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะพื้นที่โรงพยาบาล โรงเรียน ศูนย์เด็กเล็ก และในพื้นที่อุทยาน เนื่องจากเจ้าสารเคมีชนิดนี้ถูก “องค์การอนามัยโลก” กำหนดให้เป็นสารที่อาจก่อมะเร็ง และมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค 22 โรค เช่น เบาหวาน ความดันสูง อัลไซเมอร์ เป็นต้น

โดยภายหลังจาก รมว.สาธารณสุข ออกมาประกาศมติของคณะกรรมการฯออกมาอย่างเป็นทางการ ความกดดันก็ย้ายมาอยู่ที่ “กรมวิชาการเกษตร” ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลสารเคมีทางการเกษตร ซึ่งกว่าจะมีท่าทีออกมาได้ก็ล่วงเข้ามาถึงเดือนกันยายน โดยอธิบดีกรมวิชาการเกษตร “สุวิทย์ ชัยเกียรติยศ” แกออกมายืนยันชัดว่า สำหรับกรณี “ไกลโฟเซต” นั้น เห็นควรให้จำกัดการเฉพาะใช้และไม่มีแนวทางยกเลิกตามข้อเสนอ แต่ให้ผู้ประกอบการรายงานการนำเข้า การผลิต การส่งออก การจำหน่าย พื้นที่การใช้ และปริมาณคงเหลือ และต้องระบุพื้นที่ห้ามใช้ในฉลากวัตถุอันตรายควบคุมการโฆษณา

ส่วนอีก 2 ชนิด คือ “พาราควอต” และ “ควอร์ไพริฟอส” ต้องส่งเรื่องหารือไปยัง “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” ซึ่งมีปลัดกระทรวอุตสาหกรรมเป็นประธาน เนื่องจากกรมวิชาการเกษตรไม่มีความเชี่ยวชาญที่จะพิจารณานำข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยมาวินิจฉัยได้อย่างชัดแจ้งว่า สารดังกล่าวมีอันตรายต่อสุขภาพของมนุษย์ตามที่มีการกล่าวอ้าง

พร้อมกับย้ำในตอนท้ายว่า กรมวิชาการเกษตร มีอำนาจหน้าที่ให้คำแนะนำเกี่ยวกับวัตถุอันตรายตามพ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ.2535เท่านั้น

ฟังคำชี้แจงของอธิบดีกรมวิชาการเกษตรแล้ว บอกได้คำเดียวว่า จี๊ดใจมาก

เพราะมันทำให้ผมรู้สึกเกิดคำถามขึ้นมาทันทีว่า สรุปแล้วข้อมูลที่คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง เป็นข้อมูลที่เชื่อถือไม่ได้ใช่หรือไม่ กรมวิชาการเกษตร ถึงใช้วิธี “เตะออก” ด้วยการซื้อเวลาโยนไปให้คณะกรรมการวัตถุอันตรายพิจารณาอีก

สิ่งที่ต้องไม่ลืมเลย ก็คือ องค์ประกอบของคณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง นอกจากจะมี “กระทรวงสาธารณสุข” ซึ่งถือเป็นหน่วยงานรัฐที่มีความ “เชี่ยวชาญ” ข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยมาที่สุดในประเทศ เป็นหน่วยงานหลักนั่งอยู่ในคณะกรรมการแล้ว ยังมีผู้แทนที่มีความรู้ด้านต่างๆ ของกระทรวงอื่นๆ รวมทั้งหมดถึง 5 กระทรวง รวมทั้งกระทรวงเกษตรฯเองด้วย

ดังนั้นการที่อธิบดีกรมวิชาการเกษตรมาเขี่ยลูกไปให้ “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” ของกระทรวงอุตสาหกรรมอีก ผมก็ว่ามันทะแม่ง

เพราะอย่างน้อยถามว่า กระทรวงอุตสาหกรรม จะเชี่ยวชาญข้อมูลด้านสุขภาพอนามัยประชาชน เท่ากระทรวงสาธารณสุขไหม ผมก็ว่า “ไม่”

แล้วแบบนี้เจตนามันคืออะไร

ส่วนไอ้เรื่องข้ออ้างว่า มีอำนาจเป็นเพียงหน่วยงานที่ให้คำแนะนำเท่านั้น ลองไปเปิดอ่าน “พ.ร.บ.วัตถุอัตราย” ดูดีๆ ครับว่า เขาเขียนไว้ว่าอย่างไรบ้าง

อย่ามาพูดให้ต้องรู้สึกสมเพชประเทศไทยมากไปกว่านี้เลย

มะลิลา

Leave a comment