ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/295403

กรมชลฯแจงรีดค่าน้ำรายใหญ่-ไม่เก็บเกษตรกรายย่อย
2 ต.ค.60 นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ รองอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยถึงพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ ที่ระบุถึงการเก็บค่าน้ำทำการเกษตรเชิงพาณิชย์ในพื้นที่นอกเขตชลประทานว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้เสนอโดยกระทรวงทรัพยากรและสิ่งแวดล้อม(ทส.)ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ในชั้นคณะกรรมมาธิการ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปร่วมเป็นคณะกรรมการด้วย ซี่งมีบางมาตราถูกแขวนไว้ เช่น มาตรา39 ที่มีเรื่องเก็บค่าใช้น้ำ แต่ในมาตราหลักๆไม่มีการกำหนดเพราะคณะกรรมมาธิการ มีข้อท้วงติงในเรื่องการริดรอนสิทธิ และมีมติจะพิจารณาส่งกลับไปทบทวนใหม่ในประเด็นเก็บค่าน้ำ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ในส่วนของกรมชลประทาน มีพ.ร.บ.ชลประทานหลวง พศ.2485 ที่สามารถเก็บค่าน้ำได้สองประเภท คือจากการทำเกษตรไร่ละ 5 บาท ซึ่งตั้งแต่มีพ.ร.บ.ชลประทานฯมายังไม่เคยนำมาเก็บ หากจะเก็บต้องมาออกกฎกระทรวง โดยมีการเก็บค่าน้ำจากภาคอุตสาหกรรม 50 สตางค์ต่อลบ.ม. และเรื่องพลังงาน เก็บไม่ถึง 50 สตางค์
ทั้งนี้พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ จะใช้กับพื้นที่นอกเขตชลประทานที่มีการใช้น้ำจากแหล่งน้ำธรรมชาติ ส่วนประเด็นที่ระบุว่าจะเก็บค่าน้ำจากการทำเกษตรเชิงพาณิชย์ ยังเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องมาออกกฎระเบียบให้ชัดเจนว่าเชิงพาณิชย์ประเภทใดบ้าง รวมถึงต้องพิจารณาข้อสังเกตุต่างๆจากชาวนา ชาวไร่ ภาคเอกชน ที่อยู่นอกเขตชลประทาน ที่ต้องระบุไว้ในกฎกระทรวง
อย่างไรก็ตามกฎหมายดังกล่าวไม่มีทางบังคับใช้ได้ทัน ภายในเดือน ต.ค. จะต้องผ่านการพิจารณาในสนช.อีก และการเก็บค่าน้ำหรือไม่เก็บอยู่ที่การออกกฎกระทรวง ที่ต้องผ่านการทำความเข้าใจกับประชาชน ในขณะนี้ยังไม่ได้ข้อยุติ และกรรมธิการ ยังแขวนมาตรา39ไว้ แนวทางจากนี้อาจยุบรวมมาตราใหม่ ให้เน้นหลักๆเรื่องโครงสร้างจัดสรรน้ำ และดูแลลุ่มน้ำ
ส่วนการเก็บค่าน้ำไปออกกฎกระทรวงเอง เพื่อป้องกันน้ำหายระหว่างทาง เช่น ปล่อยน้ำมาจากเขื่อนป่าสัก เข้าพื้นที่นอกเขต ไม่อยู่ในประกาศ พ.ร.บ.ชลประทานหลวง หากเอาน้ำไปใช้ใครดูแลตรงนี้ จึงต้องหามาตราการมาอุดช่องว่างให้ได้ ไม่อย่างนั้นปริมาณน้ำส่งมาไล่น้ำเค็มไม่ได้ แต่ยืนยันว่าเกษตรกรรายย่อยไม่เก็บซึ่งจะต้องมีการลงทะเบียน กำหนดสิทธิผู้ใช้น้ำ มีมาตรากำหนดบทลงโทษ
นายสมเกียรติ กล่าวว่า ในประเด็นที่เกษตรกรกังวลเรื่องเก็บค่าน้ำ ทำเกษตรเกิน50 ไร่ เลี้ยงวัว 20 ตัว เสียค่าน้ำ 50 สตางค์ต่อลบ.ม. นั้นเป็นเพียงตุ๊กตาตั้งไว้เท่านั้นในร่างเดิม ซึ่งหลักการของพ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ มีเจตนาให้คนทุกคนรับรู้ว่าการใช้น้ำกระทบคนอื่น เป็นหัวใจหลักที่ให้ใช้น้ำพอประมาณ เพื่อวางแนวทางจัดสรรน้ำเป็นธรรม
“ในอนาคตมีแนวโน้มน้ำลดลง หากคนที่มีกำลังดึงไปมาก ในแหล่งน้ำสาธารณะจนทำให้คนอื่นเดือดร้อนไม่มีน้ำใช้ โดยกรมชลฯเสนอความเห็นให้กำหนดประเภท ผู้ใช้น้ำ การออกกฎหมายเก็บค่าน้ำมาออกเป็นกฎกระทรวง ตามข้อกำหนด ไม่กระทบวางรากฐานชีวิต ให้ดูตัวอย่างพื้นที่ชลประทาน ไม่เก็บค่าน้ำภาคเกษตรแต่เก็บค่าชลประทานสำหรับภาคอุตสาหกรรมที่ดูดไปใช้ และกักเก็บไว้มากจนคนอื่นขาดแคลนน้ำ”นายสมเกียรติ กล่าว
รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า พ.ร.บ.ทรัพยากรน้ำ เป็นเรื่องสำคัญมาก รัฐบาลจึงส่งผู้แทนหน่วยงานต่างๆเข้าร่วมกับสนช. แม้ว่าเห็นชอบหลักการ ก็ต้องเข้าสู่คณะกรรมการวิสามัญ ซึ่งกำลังพิจารณาถึงมาตรา 95 มาตรา ทั้งหมดมีกว่า 100 มาตรา ซึ่งในมาตรา 39 ระบุถึงการเก็บค่าน้ำ แบ่งผู้ใช้น้ำ 3 ส่วนคือ ดำรงชีพ ทำเกษตรหรือเลี้ยงสัตว์เพื่อการพาณิชย์ ในประเด็นนี้กรรมาธิการยังไม่ค่อยสบายใจ จะต้องมีการออกฎกระทรวงอีกครั้งกำหนดประเภทชัดเจน
“สิ่งที่ปรากฎในข่าวเป็นเพียงร่างเดิมที่เสนอไปครั้งแรก เข้าสนช.โดยคณะกรรมมาธิการ ยังไม่พิจารณาแนวทางการเก็บค่าน้ำ โดยประธานคณะกรรมาธิการ ส่งกลับไปทบทวนอีกรอบ รวมทั้งยังต้องมีขบวนการประชาพิจารณ์กับประชาชน ดังนั้นขั้นตอนยังอยู่อีกยาว กว่าจะมาออกกฎกระทรวง ”รองอธิบดีกรมชลประทาน กล่าว
ทั้งนี้ยืนยันว่าในพื้นที่เกษตรเขตชลประทานไม่ได้เก็บค่าน้ำทำเกษตรใดๆทั้งสิ้น รวมทั้งแปลงใหญ่ตามที่พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รมว.เกษตรฯให้นโยบายมา เพราะแปลงใหญ่เกิดจากรวมแปลงของเกษตรกรรายย่อย ไม่ใช่ทำเพียงรายใหญ่รายเดียว เรายืนยันว่าภาคเกษตรไม่ควรเก็บและพื้นที่ชลประทานไม่ได้เก็บเลย เพราะกรมชลฯมีการทำความเข้าใจมาตลอดกับเกษตรกร กลุ่มผู้ใช้น้ำในพื้นที่ใช้น้ำแบบไหน ประหยัดน้ำได้