ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/294523

แตกใบอ่อน : นวัตกรรมปราบ‘ผักตบชวา’
ฝนตกลงมาโครมๆ ในระยะนี้ นับเป็นสัญญาณอย่างดีของการมาถึงของ “น้ำหลาก” ซึ่งเมื่อเกิดน้ำหลาก นอกจากจะต้องมาขบคิดกันถึงแนวทางป้องกันปัญหาน้ำท่วมแล้ว อีกเรื่องหนึ่งที่เป็นปัญหาไม่แพ้กัน คือ “ผักตบชวา” ซึ่งนับเป็น “วัชพืชร้าย” ที่คู่กับแม่น้ำลำคลองในประเทศไทยมานาน
นานจนทำให้ช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลต้องแทบจะทำให้การกำจัดผักตบชวาเป็น “วาระแห่งชาติ” กันเลยทีเดียว เนื่องจากการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วและมหาศาลของวัชพืชชนิดนี้ ไม่เพียงส่งผลเสียต่อการกีดขวางการไหลของกระแสน้ำ ซึ่งเป็นปัญหาสำคัญในช่วงฤดูฝนหรือฤดูน้ำหลากก่อให้เกิดน้ำท่วมเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ การคมนาคมสัญจรท่องเที่ยวและทัศนียภาพของแหล่งน้ำอีกด้วย
ที่เกริ่นมาเสียเยิ่นเย้อ ก็ไม่ใช่อะไร พอดีได้รับข้อมูลจาก “ดร.สามารถ ดีพิจารณ์” ที่ปรึกษาคณบดี วิทยาลัยการบริหารและการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) ในฐานะประธานโครงการกำจัดผักตบชวาอย่างยั่งยืนด้วยพืชสมุนไพร เกี่ยวกับงานวิจัยนวัตกรรม “กำจัดผักตบชวา ด้วยสารจากสมุนไพร” ซึ่งเห็นว่ามีประโยชน์มาก และหากมีหน่วยงานภาครัฐสนใจจะนำไปทดลองใช้ ก็น่าจะเกิดประโยชน์พอสมควร เลยอยากนำมาเผยแพร่ต่อ
อาจารย์สามารถ ท่านบอกว่า จากสถิติปริมาณผักตบชวาเมื่อเดือนกันยายน 2559 พบว่าทั่วประเทศมีผักตบชวาถึง 6,205,355 ตัน ขณะที่การกำจัดในปัจจุบันมักใช้ 4 วิธี คือ 1.ใช้สารเคมี ซึ่งเป็นที่นิยมเพราะง่ายและประหยัดเวลา แต่ก็ต้องแลกมาด้วยความเสี่ยงต่อผลกระทบสภาพแวดล้อมและสุขภาพประชาชน หากใช้อย่างไม่ถูกวิธี 2.การกำจัดโดยวิธีกล คือใช้แรงงานคนและเครื่องมือเครื่องจักร ซึ่งไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม แต่ก็ต้องใช้กำลังคนและเครื่องมือกันวุ่นวายพอสมควร 3.การนำไปใช้ประโยชน์ เช่น แปรรูปและผลิตเป็นเครื่องจักสาน แต่ความสามารถในการผลิตก็คงไม่เท่าทันต่อปริมาณผักตบชวาที่เพิ่มขึ้น และ 4.การกำจัดโดยชีววิธี โดยใช้สิ่งมีชีวิต เช่น แมลง โรคพืช หรือศัตรู เข้าไปกัดกินหรือทำลายผักตบชวา
โดยที่ผ่านมา สจล. ได้วิจัยและพัฒนานวัตกรรม “การกำจัดผักตบชวาอย่างยั่งยืนด้วยสารสกัดจากพืชสมุนไพร” โดยคิดค้นตามกระบวนการทดลองทางวิทยาศาสตร์และทดลองสูตรที่เหมาะสม จนได้สูตรที่ดีที่สุดในการกำจัดผักตบชวา 3 สูตร คือ 1.Extract-Wayacin ค้นพบจากสารสกัดจากพืชสมุนไพรเข้มข้นและจุลินทรีย์ชีวภาพ ที่เหมาะสมสำหรับการกำจัดผักตบชวาโดยที่ไม่มีผลกระทบจากสิ่งแวดล้อม 2.Micro-Organ และ 3.Super-Organ ค้นพบจากสารสกัดจากพืชสมุนไพรเจือจางและจุลินทรีย์ชีวภาพ ที่เหมาะสมสำหรับการกำจัดผักตบชวาและเพื่อกินก๊าซไข่เน่า (Hydrogen Sulfide) ซึ่งทุกสูตรมีองค์ประกอบของ มะรุม (Moringa Oleifera Lam), กระเทียม (Allium Sativum), กรดอะมิโน Amino Acid Residue และจุลินทรีย์ Microorganisms แต่ในส่วนของค่าความเป็นกรดด่างและอัตราส่วนผสมจะแตกต่างกัน เพื่อประสิทธิภาพในการฉีดพ่นเข้าทำลายสารคลอโรฟิลล์ ของผักตบชวา และทำหน้าที่สลายซากผักตบชวาที่เหี่ยวแห้งและตาย โดยไม่ก่อให้เกิดสารพิษตกค้างในแหล่งน้ำและไม่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
ทั้งนี้ นวัตกรรมสารสกัดจากพืชสมุนไพรโดยการฉีดพ่นเพื่อกำจัดผักตบชวา ใช้ระยะเวลาไม่เกิน 45 วัน แบ่งออกเป็น 3 ขั้นตอน คือ 1.ฉีดพ่นด้วย Extract – Wayacin : เพื่อสกัดการสังเคราะห์แสงและการสังเคราะห์โปรตีนของใบผักตบชวาใช้ระยะเวลาประมาณ 7-10 วัน จะทำให้ใบแห้งเหี่ยวตาย 2.ฉีดพ่นด้วย Micro-Organ: เพื่อสกัดการสังเคราะห์แสงการสังเคราะห์โปรตีนของใบผักตบชวา ซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติเมื่อต้นแม่ใกล้จะตายจะผลิตลูกต้นอ่อนขึ้นมาแทน ใช้ระยะเวลาประมาณ 7-14 วัน จะทำให้ต้นอ่อนตายและต้นแม่เริ่มเน่าเปื่อยจากใบจนถึง ราก – เมล็ด – ไหล และ 3.ฉีดพ่นด้วย Super – Organ: เพื่อกินก๊าซไข่เน่าจำนวนมาก ใช้ระยะเวลาประมาณ 7-14 วันจะช่วยปรับสภาพน้ำให้มีคุณภาพดีขึ้น
อาจารย์สามารถ ยังสรุปส่งท้ายเอาไว้ว่า จากการนำต้นผักตบชวามาทดลองในห้องปฏิบัติการ เพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงในขั้นตอนต่างๆ เริ่มตั้งแต่การดูดซึมของรากการดูดซับน้ำ คุณภาพน้ำ ใบแห้งเหี่ยวตาย การเกิดต้นอ่อนใหม่การเริ่มเน่าเปื่อยจากใบจนถึงราก-เมล็ด-ไหล การเกิดก๊าซไข่เน่า การปรับสภาพน้ำให้มีคุณภาพดีขึ้น และน้ำใสขึ้น พบว่า ต้นผักตบชวาหนัก 1,000 กรัม หลังจากตากให้แห้งจะมีน้ำหนักเหลือประมาณ 50 กรัม คิดเป็นน้ำหนักของกากแห้งเฉลี่ย ร้อยละ 5 แต่ฉีดพ่นด้วยสารสกัดดังกล่าวแล้วปล่อยให้เน่าเปื่อยและย่อยสลายในน้ำ จะเหลือส่วนที่เป็นรากและไหลที่เมื่อนำมาตากแห้งจะเหลือน้ำหนักเพียง 10 กรัม คิดเป็นน้ำหนักของกากแห้งเฉลี่ย ร้อยละ 1 ในขณะที่การวิเคราะห์และหาค่าประมาณการโดยเฉลี่ย ความหนาแน่นของผักตบชวา ไร่ จะมีน้ำหนัก 80 ตัน หรือ 80,000 กิโลกรัม ถ้าถูกกำจัดด้วยนวัตกรรมใหม่จะเหลือซากคิดเป็นน้ำหนักเพียง 80 กิโลกรัมต่อไร่ ตกทับถมลงในใต้น้ำ ซึ่งซากหรือตะกอนที่รอการย่อยสลายตามธรรมชาติเพียง 1% จะไม่ส่งผลทำให้แม่น้ำลำคลองตื้นเขิน จึงสรุปได้ว่าในการกำจัดผักตบชวาด้วยนวัตกรรมใหม่นี้ จะส่งผลดีในการรักษาระบบนิเวศในน้ำได้เป็นอย่างดี
ทั้งนี้หากหน่วยงานหรือประชาชนท่านใดสนใจอยากทราบข้อมูลเพิ่มเติม ก็ลองติดต่อประสานงานกับ สจล.ดูได้ครับ ที่โทรศัพท์ 0-2329-8111 หรือเว็บไซต์ www.kmitl.ac.th
มะลิลา