ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/296880

ส่องเกษตร : จากภาษีน้ำถึงกม.คุ้มครองพันธุ์พืช
เอ็นจีโอเจ้าเก่า มูลนิธิชีววิถี“ไบโอไทย”โดยผอ.วิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญ กำลังเปิดประเด็นรณรงค์ต่อต้านร่าง พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืชฉบับใหม่ที่กรมวิชาการเกษตรผลักดันอยู่ ด้วยข้อกล่าวหาหนักหน่วงว่า เป็นกฎหมายเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มทุนใหญ่ทั้งในประเทศและทุนข้ามชาติผูกขาด“เมล็ดพันธุ์พืช”ซึ่งสื่อบางสำนักนำไปขยายด้วยวาทกรรมรุนแรงเสมือนเป็นกฎหมาย“ปล้นเกษตรกรไทย”
หลายปีที่ผ่านมา กรมวิชาการเกษตรพยายามแก้พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช พ.ศ.2542 มาหลายครั้งท่ามกลางข้อครหาว่าเป็นเพราะแรงกดดันจากบรรษัทข้ามชาติและบริษัทเมล็ดพันธุ์ยักษ์ใหญ่ ที่ผลักดันให้ประเทศไทยยอมรับระบบกฎหมายตามอนุสัญญา UPOV 1991 ที่เอื้อประโยชน์ให้บรรษัทเมล็ดพันธุ์เพิ่มการผูกขาดยิ่งขึ้น กลุ่มทุนเหล่านี้ได้ผลักดันทั้งโดยตรงและผ่านข้อตกลงต่างๆ เช่น ข้อตกลงการค้าเสรี(FTA)ไทย-สหรัฐฯ และ FTA อาเซียน-ยุโรป เป็นต้น แต่ไม่สำเร็จ ด้วยถูกต้านหนัก
ช่วงรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กรมวิชาการเกษตรก็ผลักดันอีกเมื่อมี.ค.2559 และเช่นเคยที่ถูกคัดค้านหนักจากนักวิชาการ เช่น รศ.จักรกฤษณ์ ควรพจน์ TDRI, รศ.สุรวิช วรรณไกรโรจน์ ม.เกษตรศาสตร์,ผศ.สมชาย รัตนชื่อสกุล ม.หอการค้าไทย รวมทั้งนพ.มงคล ณ สงขลา อดีตรมว.สาธารณสุขผู้รู้ทันเรื่องสิทธิบัตรของบรรษัทข้ามชาติดี..เรื่องจึงเงียบไปพักหนึ่ง แต่จู่ๆเว็บไซต์กรมวิชาการเกษตร(http://www.doa.go.th/main/index.php…)ได้เผยแพร่เนื้อหาร่างกฎหมายใหม่ พ.ร.บ.คุ้มครองพันธุ์พืช(ฉบับที่…)พ.ศ….ที่จะมาแทนของเก่า ให้ประชาชนแสดงความคิดได้ถึง 20 ต.ค.2560
ไบโอไทยโดยวิฑูรย์ เลี่ยนจำรูญชี้ว่า ร่างพ.ร.บ.ใหม่นี้ ระบุหลักการและเหตุผลชัดเจนว่า ร่างขึ้นให้เป็นไป“ตามแนวทางอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่(อนุสัญญา UPOV 1991)”และรองรับ“แนวโน้มการเจรจาข้อตกลงFTA จะผลักดันให้ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีสมาชิกอนุสัญญา UPOV1991” มีเนื้อหาที่เอื้อประโยชน์ให้บรรษัทเมล็ดพันธุ์เพิ่มการผูกขาดและเปิดทางสะดวกให้โจรสลัดชีวภาพ ขณะที่ลิดรอนสิทธิเกษตรกร เปิดช่องให้ลงโทษเกษตรกรที่เก็บรักษาพันธุ์พืชไปปลูกต่อ เป็นการทำลายวัฒนธรรมที่สร้างความหลากหลายทางชีวภาพ และกระทบความมั่นคงทางอาหารของไทย
กฎหมายมีสาระสำคัญน่ากังวล 8 ข้ออาทิ ตัดเนื้อหามาตรา 33 (4) ของกฎหมายเดิมออก ทำให้เกษตรกรที่เก็บพันธุ์พืชไปปลูกต่ออาจได้รับโทษถึงจำคุก เท่ากับตัดสิทธิที่จะเก็บรักษาพันธุ์พืชใหม่ไปปลูกต่อ,ขยายเวลาผูกขาดพันธุ์พืชใหม่ของบริษัทจากเดิม 12-17 ปีเป็น 20-25 ปี, ขยายการผูกขาดจากเดิมอนุญาตเฉพาะ “ส่วนขยายพันธุ์” เป็นรวมถึง “ผลผลิต”และ “ผลิตภัณฑ์” ด้วย,ขยายการผูกขาดพันธุ์พืชใหม่ไปยังอนุพันธุ์ของสายพันธุ์พืชใหม่,เปิดทางสะดวกให้โจรสลัดชีวภาพโดยตัดการแสดงที่มาของสารพันธุกรรมออกเมื่อบริษัทจะขอรับการคุ้มครองพันธุ์พืชใหม่,ตัดเงื่อนไขการระงับสิทธิในพันธุ์พืชใหม่ที่เกี่ยวกับความมั่นคงทางอาหาร กรณีตั้งราคาเมล็ดพันธุ์แพงจนเกษตรกรเข้าไม่ถึง เป็นต้น
และกล่าวหากรมวิชาการเกษตรว่า ฉวยโอกาสช่วงพระราชพิธีสำคัญเดือนตุลาคม เร่งออกกฎหมาย เพื่อมิให้ประชาชนมีโอกาสเคลื่อนไหวคัดค้าน แต่ไบโอไทยและเครือข่ายจะคัดค้านถึงที่สุด
นายสุวิทย์ ชัยเกียรติยศ อธิบดีกรมวิชาการเกษตรปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาว่า ไม่จริง ยืนยันมีหลายหน่วยงานรัฐที่เข้ามาช่วยดูให้กฎหมายเกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมและเกษตรกรอย่างเป็นธรรม ส่วนเรื่องเมล็ดพันธุ์ที่เกษตรกรซื้อมาเพาะปลูก สามารถเก็บไปปลูกรุ่นต่อไปได้ เพียงห้ามนำไปเพาะเมล็ดพันธุ์จำหน่ายเท่านั้น ฝ่าฝืนมีโทษหนักจำคุก 2 ปีปรับ 4 แสนบาท ย้ำทำกฎหมายเพื่อให้เกษตรกรได้ประโยชน์สูงสุด ทั้งคุ้มครองสิทธินักปรับปรุงพันธุ์พืช สร้างแรงจูงใจเร่งปรับปรุงพันธุ์พืชใหม่ๆ และตอนนี้ได้ขยายเวลารับฟังความเห็นไปถึง 20 พ.ย.แล้ว
ข้อตอบโต้ชี้แจงของอธิบดี“สุวิทย์”ยังเคลียร์ไม่ชัดหลายเรื่อง โดยเฉพาะเหตุที่ต้องขยายการผูกขาดหลายกรณีให้บรรษัทเมล็ดพันธุ์ แต่กฎหมายนี้ยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอน ทั้งผ่านรัฐบาลและสนช. จึงเชื่อว่า จะมีการต่อสู้ทางความคิดและแก้ไขเนื้อหาอีกมากแน่ๆ
อย่างไรก็ตาม รัฐบาลเพิ่งเสียท่าไปหยกๆ ถูกโจมตีหนักกรณีความไม่ชัดเจนเรื่องกฎหมายเก็บค่าใช้น้ำจากเกษตรกรที่ถูกเรียกว่า “ภาษีน้ำ” ดังนั้นกฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช นับเป็นอีกเรื่องอ่อนไหวที่มีสิทธิปลุกเกษตรกรออกมาถล่มรัฐบาลหาว่าซ้ำเติมความเดือดร้อนได้อีก จึงสมควรระวังให้จงหนัก…เดี่ยวจะหาว่าไม่เตือน!
สาโรช บุญแสง