ส่องเกษตร : พระราชมรดกเพื่อเกษตรกรไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/299195

449007

ส่องเกษตร : พระราชมรดกเพื่อเกษตรกรไทย

วันพุธ ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ด้วยไม่อาจหยุดยั้ง“เวลา” ในที่สุดวันที่พสกนิกรไทยทั่วทั้งแผ่นดินไม่อยากให้มาถึง ก็กำลังจะมาถึงจนได้ วันพฤหัสบดีที่ 26 ตุลาคม 2560 นี้แล้ว วันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระราชาผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชาทั้งมวล

เมื่อชีวิตต้องดำเนินต่อไป ธ ผู้เสด็จสู่สรวงสวรรค์ คงไม่ทรงปรารถนาให้พสกนิกรลูกหลานของพระองค์ ต้องจมอยู่กับความโศกเศร้าตลอดไป เสร็จพระราชพิธีสำคัญเพื่อส่งเสด็จสู่สวรรคาลัยนี้แล้ว ทุกชีวิตต้องเดินไปข้างหน้า แต่สิ่งที่จะเป็นเข็มทิศนำทาง เมื่อไม่มีพระองค์ ก็ยังมี“พระราชมรดกทางปัญญา”ต่างๆมากมายที่ได้พระราชทานไว้ให้ สุดแต่ลูกหลานไทยจะรู้จักนำไปปรับใช้เพื่อประโยชน์สุขแก่ตัวเอง ครอบครัว สังคม และประเทศชาติส่วนรวมกันได้มากน้อยขนาดไหน

สำหรับเกษตรกรที่พระองค์ทรงทุ่มเทตลอดทั้งชีวิต 70 ปี แห่งการครองราชย์นั้น มี“พระราชมรดกทางปัญญา”ที่พระราชทานไว้ให้มากล้น โดยเฉพาะ“เกษตรทฤษฎีใหม่” การทำไร่นาสวนผสม ให้สามารถใช้ประโยชน์จากพื้นที่เท่าที่มีอยู่ได้เต็มประสิทธิภาพ เกื้อหนุนให้ดำเนินชีวิตได้อย่าง“พอเพียง”พออยู่ พอกิน และต่อยอดไปสู่ความเจริญก้าวหน้ามากขึ้นได้ ถ้าไม่งอมืองอเท้า

ในการแก้ไขปัญหาพื้นฐานด้านการผลิต เรื่องสำคัญคือ“ดิน” ก็ได้พระราชทานแนวทางในการฟื้นฟูดินไม่ว่า ดินเสื่อมโทรม ดินเค็ม ดินเปรี้ยว ฯลฯ ให้กลับเป็นดินสมบูรณ์เหมาะกับการเพาะปลูกได้อีก มีแบบอย่างให้ศึกษาเรียนรู้แล้วนำไปปรับใช้ ไม่ว่าโครงการแกล้งดิน ตลอดจนการปรับปรุงคุณภาพดินแบบต่างๆที่ปรากฏในพื้นที่สาธิตโครงการพระราชดำริ เช่น โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน จ.ฉะเชิงเทรา,โครงการศึกษาฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม จ.ราชบุรี, โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ จ.เชียงใหม่,โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย จ.เพชรบุรี,โครงการทดลองแก้ปัญหาดินเปรี้ยว จ.นครนายก เป็นต้น

สำหรับชาวนา“กระดูกสันหลังชาติ”เกษตรกรส่วนใหญ่ของประเทศ “พันธุ์ข้าว”นับเป็นหัวใจสำคัญยิ่งที่ทรงตระหนักดี จึงทรงทุ่มเทพัฒนาพันธุ์ข้าวที่ดี พระราชทานให้เป็น“พระราชมรดก” โดยนับตั้งแต่ครองราชย์ไม่นาน ก็ได้แปลงพื้นที่พระราชวังสวนจิตรลดาเป็นแปลงนา สถานที่ทดลองพันธุ์ข้าวและการเกษตร ทรงหว่านและขับรถไถนาควายเหล็กด้วยพระองค์เอง ผลผลิตที่ได้ข้าวพันธุ์ดี ก็พระราชทานให้เกษตรกรนำไปปลูกต่อยอด ทั้งมอบหมายผู้เกี่ยวข้องให้พัฒนาพันธุ์ข้าวอย่างต่อเนื่อง ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจแก่ชาวนา และใช้พระราชพิธีนี้ในการพระราชทานพันธุ์ข้าวที่ดี เผยแพร่สู่ชาวนาด้วย

ด้วยเหตุนี้ รัฐบาลจึงมีมติเทิดพระเกียรติในหลวงรัชกาลที่ 9 เป็น“พระบิดาแห่งการวิจัยและพัฒนาข้าวไทย“เช่นเดียวกับเรื่อง“ดิน”ที่องค์การอาหารและการเกษตรแห่งสหประชาชาติ ประกาศให้ 5 ธันวาคมทุกปี ซึ่งตรงกับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระองค์ เป็น“วันดินโลก”เพื่อเทิดพระเกียรติที่ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจพัฒนาดินมาอย่างยาวนาน ผลสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก

ยังมี“พระราชมรดกทางปัญญา”ที่พระราชทานให้อีกมากมาย เกินจาระไนได้ในเนื้อที่จำกัดของคอลัมน์นี้ แต่ที่จะขอเขียนถึงอีกสักเรื่องคือ “ปลา”…เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วเรื่องของ “ปลานิล” ปลาพระราชทานจากในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ช่วยสร้างอาหารโปรตีนราคาถูกให้คนไทย ทั้งเป็นอาชีพเสริมจนถึงอาชีพหลักให้เกษตรกร คงจะไม่เล่าที่มาที่ไปอีก แต่ที่อยากเสริมคือ พระวิสัยทัศน์ของพระองค์ในเรื่องนี้ ที่สะท้อนชัดถึงการแก้ไขปัญหาพื้นฐานของทั้งเกษตรกรและคนไทยได้อย่างลึกซึ้ง

เรื่อง“ปลา”ยังลึกซึ้งยิ่งขึ้นเมื่อมีพระราชดำรัสวโรกาศวันเฉลิมพระชนมพรรษาเมื่อ 4 ธันวาคม 2541 ตอนหนึ่งว่า “เราไม่ควรให้ปลาแก่เขา แต่ควรจะให้เบ็ดตกปลาและสอนให้รู้จักวิธีตกปลาจะดีกว่า”

เพราะการหยิบยื่นปลาเป็นอาหารแก่คนยาก แค่แก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้ แต่ถ้าให้อุปกรณ์และสอนให้เขาจับปลาเองได้ ก็จะแก้ปัญหาความอดยากได้อย่างยั่งยืน นี่เป็นวิสัยทัศน์พระราชาผู้ยิ่งใหญ่ที่เป็นรัฐบุรุษของโลกซึ่งจะมองไปถึงอนาคตข้างหน้า แตกต่างสิ้นเชิงกับนักการเมืองหรือนักปกครองที่คิดแต่ให้“ปลา” เพื่อแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหรือหวัง“ตกเบ็ด”คะแนนนิยมเท่านั้น

“พระราชมรดก”ที่พระราชทานให้คนไทย ให้กับเกษตรกรไทย นั่นคือสิ่งที่จะบอกคนทั่วหล้าว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ไม่ได้จากไปไหน ยังคงอยู่คู่กับประเทศไทยไปตราบชั่วนิจนิรันดร์

สาโรช  บุญแสง

Leave a comment