ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/297082

แตกใบอ่อน : ‘ใบมันสำปะหลัง’ขุมทองเกษตรกร
สัปดาห์นี้ขออนุญาตนำเสนอบทความต่อเนื่องของ “ผศ.ดร.เกรียงไกร แก้วตระกูลพงษ์” และคณะ จากภาควิชาเกษตรกลวิธาน คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ซึ่งได้ทำการศึกษาข้อมูลเพื่อกำหนดต้นแบบและยุทธศาสตร์การเพิ่มพูนข้อมูลความรู้ทิศทางตลาดการค้าสินค้าเกษตร ภายใต้โครงการศึกษาระบบข้อมูลความต้องการของตลาด ซึ่งสนับสนุนโดยสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) กระทรวงพาณิชย์ โดยสัปดาห์นี้เป็นผลศึกษา “ใบมันสำปะหลัง” ซึ่งเป็นสินค้าที่ถูกมองข้าม ทั้งที่มีคุณค่าทางโภชนาการ สามารถนำไปใช้เป็นอาหารเสริมสุขภาพสัตว์ รวมถึงนำไปใช้ในงานปศุสัตว์เพื่อผลิตสินค้าปศุสัตว์อินทรีย์ได้
อาจารย์เกรียงไกร ชี้ว่า ใบมันสำปะหลังแห้งเป็นวัตถุดิบที่มีคุณค่าทางโภชนาการ มีปริมาณโปรตีนสูงถึง 20-25% สามารถใช้ทดแทนวัตถุดิบโปรตีนที่จะนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์ได้ เช่น โปรตีนจากปลาป่นที่กำลังประสบปัญหาน่านน้ำการจับปลา โปรตีนจากกากถั่วเหลืองที่เจอปัญหา GMO ซึ่งหากทดแทนได้สักประมาณ 10% ประเทศไทยจะสามารถลดการนำเข้าโปรตีนได้ถึง 4,035 ล้านบาท (จากข้อมูลกากถั่วเหลืองนำเข้าปี 2558 จำนวน 2.69 ล้านตัน) นอกจากคุณค่าทางโปรตีนที่สูงแล้ว ยังมีสารแซนโทฟิลล์ที่ช่วยการเจริญเติบโตของสัตว์ และสารแทนนินที่ช่วยป้องกันพยาธิในสัตว์ได้เช่นกัน รวมทั้งยังนำมาเป็นอาหารมนุษย์ได้ด้วย โดยใบมันสำปะหลังแห้งน้ำหนัก 400 กรัมจะเทียบเท่ากับปริมาณโปรตีน 45 ถึง 50 กรัมที่ร่างกายมนุษย์ต้องการ
หลังจากเก็บใบมันสำปะหลังสดมาแล้วให้นำไปตาก/ผึ่งแดดให้แห้ง โดยอาจสับเป็นชิ้น ซึ่งจะทำให้ตากแห้งได้เร็วขึ้น ระหว่างการตาก ควรกลับใบมันสำปะหลังไปมาเป็นระยะๆ เพื่อให้ส่วนใบและก้านแห้งได้ทั่วถึง โดยตากแดด 2-3 แดด ตามปกติใบมันสำปะหลังจะมีสารพิษสำคัญ 2 ชนิด คือกรดไฮโดรไซยานิคและสารแทนนิน แต่เมื่อตากแห้งแล้วจะมีกรดไฮโดรไซยานิคเหลืออยู่ในระดับที่ต่ำมากไม่เกิน 30 ส่วนในล้านส่วน (ppm) เช่นเดียวกับในมันเส้นที่สารพิษจะระเหยออกไประหว่างผึ่งแดด จนเหลือในระดับไม่เป็นอันตรายสำหรับสัตว์และยังช่วยกระตุ้นให้สัตว์มีความต้านทานโรคเพิ่มขึ้น ส่วนสารแทนนิน เป็นประโยชน์ต่อระบบการย่อยอาหารของสัตว์เคี้ยวเอื้อง โดยปริมาณแทนนินในระดับต่ำ 14.79 มิลลิกรัม/กิโลกรัม จะสามารถควบคุมพยาธิในตัวสัตว์ได้ มีฤทธิ์ควบคุมพยาธิในแพะแกะได้อย่างดี สามารถทดแทนการใช้ยาถ่ายพยาธิในแพะแกะได้ด้วย การใช้ใบมันสำปะหลังเป็นอาหารสัตว์ จึงช่วยลดการใช้สารเคมีในการปศุสัตว์และนำไปสู่การผลิตเป็นเนื้อสัตว์แบบอินทรีย์ หรือนมจากสัตว์แบบอินทรีย์ได้
การเก็บเกี่ยวใบมันสำปะหลังเพื่อนำมาผลิตเป็นอาหารสัตว์นั้น มีห่วงโซ่การผลิตเริ่มจากต้นน้ำ คือ เมื่อต้นมันสำปะหลังมีอายุได้ 4 เดือนขึ้นไปจะสามารถเก็บใบมันสำปะหลังได้ โดยนำไปขายให้กับพ่อค้าคนกลางในราคา 0.8-2 บาทต่อกิโลกรัม สำหรับใบมันสำปะหลังสด หากทำการตากใบมันสำปะหลังแห้งจะขายได้ถึง 4-6 บาทต่อกิโลกรัม หลังจากนั้นพ่อค้าคนกลางจะรวบรวมใบมันสำปะหลังสดที่เกษตรกรมาขายต่อให้กับโรงงานที่แปรรูปใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ด โดยจะนำใบมันสำปะหลังสดที่รับซื้อมาตากแดดบนลานตากประมาณ 2-3 แดด จากนั้นทำการบดย่อยและทำเป็นใบมันสำปะหลังอัดเม็ดส่งขายให้กับฟาร์มปศุสัตว์ต่างๆ เพื่อใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ในทั้งฟาร์มหมู สหกรณ์โคเนื้อ สหกรณ์โคนม รวมทั้งมีการส่งออกใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดไปขายที่ต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบันประเทศไทยก็มีผู้ประกอบการผลิตและส่งออกใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดไปขายให้กับประเทศเกาหลีใต้ ประเทศนิวซีแลนด์ และประเทศออสเตรเลีย
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันประเทศไทยยังคงมีการนำใบมันสำปะหลังมาใช้ประโยชน์ในปริมาณที่น้อยอยู่ คือ ประมาณไม่เกิน 1% ของพื้นที่ปลูกมันสำปะหลังของประเทศไทย ชาวไร่มันสำปะหลังส่วนใหญ่มักจะทิ้งใบมันสำปะหลังไว้เพื่อรอให้ย่อยสลายและเป็นปุ๋ยในไร่ หรือนำไปเผา ซึ่งหากมีการเก็บเกี่ยวใบมันสำปะหลังเพียง 10% จากปริมาณมันสำปะหลังที่ปลูกในประเทศไทย และนำมาแปรรูปเป็นใบมันสำปะหลังบดอัดเม็ดเพื่อใช้ในประเทศและส่งออก ก็จะสามารถเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรได้เป็นจำนวนเงินประมาณ 420 ล้านบาทต่อปี
หากสามารถนำใบมันสำปะหลังมาใช้เป็นวัตถุดิบโปรตีนทดแทนการนำเข้าโปรตีนจากกากถั่วเหลืองได้ แม้ทดแทนได้เพียงเล็กน้อย 10% แต่ก็จะช่วยให้ประเทศไทยสามารถลดการนำเข้าโปรตีนได้ถึง 4,035 ล้านบาท ต่อปีทีเดียว
มะลิลา