ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/292477

Star Retro : ‘อี๊ด’ สำราญ ช่วยจำแนก รอเวลาทลายกำแพงความกล้า
ถือว่าเป็นนักดนตรีที่มีชื่อเสียงโด่งดัง แถมยังเป็นที่นิยมชมชอบของมิตรรักแฟนเพลงมาโดยตลอดซึ่งไม่มีใครไม่รู้จักกับ “อี๊ด วงฟลาย” หรือ “สำราญ ช่วยจำแนก” เจ้าของเอกลักษณ์ หัวโล้น แว่นตาดำ ผู้มีลีลาการร้องเฉพาะตัว วันนี้ในวัย 53 ปี อี๊ดยังมีพลังงานและเชื้อไฟร็อกที่เหลือล้น ตะลอนทัวร์คอนเสิร์ตร้องเพลงมอบความสุขให้แฟนๆ อย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับหน้าที่หัวหน้าครอบครัวที่ไม่มีขาดตกบกพร่อง เมื่อมีโอกาสพบเจอ จึงต้องขอจับเข่าเม้าท์ อัพเดทเรื่องราว
เส้นทางก้าวสู่ “อี๊ด ฟลาย”
ตอนนั้นเล่นอยู่ที่ Hollywood ผับ เป็นช่วงที่ปรับตัวเล่นเพลงที่เป็นสไตล์ร็อก แนวเพลงอัลเทอร์เนทีฟร็อกกำลังเข้ามาใหม่ๆ มีเพลงของ Green Day, Nirvana เพลงต่างๆ เหล่านั้น เราเอามาร้องแล้วก็เอามาเล่นกันก็เกิดเป็นเพอร์ฟอร์มขึ้นมา คือจะเห็นตัวตนเราชัดเจนเวลาเราเล่นดนตรีถ่ายทอดออกไป แล้วก็เกิดภาพๆ หนึ่งขึ้นมา ข่าวสารต่างๆ ก็ไปถึงคนทำธุรกิจเพลงในค่ายแกรมมี่ ซึ่งผู้ใหญ่ก็เข้ามาดู เสร็จแล้วก็เรียกไปคุยกัน และได้พบกับพี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) แล้วก็เข้าสู่วงการเพลงจริงๆ จังๆ

ชอบดนตรีมาตั้งแต่เด็กๆ
ผมเริ่มเล่นดนตรีอาชีพตอนประมาณอายุ 19 ปี ตอนแรกเล่นดนตรีหลายชิ้น เริ่มเล่นกลอง คีย์บอร์ด แต่พอช่วงหลังๆ ทำวงก็ออกมาร้องนำ ผมเป็นคนที่ชอบฟังเพลงนะ ชอบร้องเพลงอยู่แล้ว เวลาเราฟังก็จะได้ยินเสียงกลอง ได้ยินจังหวะต่างๆ ก็เลยได้เล่นกลองเป็นไปด้วย การเป็นนักร้องจริงๆ เหนื่อยนะครับ เพราะนักร้องใช้แรงเต็มๆ อย่างเดียว ต้องดูแลตัวเอง ต้องแข็งแรงมากๆ ผมเองไม่เคยเรียนร้องเพลงเลยตั้งแต่ไหนแต่ไรเรียนรู้ด้วยการก๊อบปี้ เพลงสากลเพลงร็อก เพลงป๊อป ช่วงที่เรายังไม่ได้ออกอัลบั้มก็ก๊อบปี้คนอื่นมาตลอด แล้วช่วงหลังมีไปเรียนนิดหนึ่งเพื่อเอาความรู้ในภาคทฤษฎี (หัวเราะ)
เข้าสู่รูปแบบศิลปินเต็มขั้น
เราได้ทำงานที่เรารัก เราได้ใช้ทักษะที่เราได้เรียนรู้มาทั้งหมดที่ผ่านมาหลายๆ ปีในแนวเพลงทุกๆ แนวเราก็ปรับตัวเอามาใช้ในงาน เวลาบันทึกเสียง ทำเอ็มวี หรือทำอะไรก็ตาม กับพี่ๆ ผู้ใหญ่คนที่มีประสบการณ์ เราก็ได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์ต่างๆ เหล่านั้นมาเรื่อยๆ ชีวิตก็ดีขึ้น อย่างน้อยเราก็มีอาชีพที่มีคนรู้จักเรา พวกเราโชคดีนะ เพราะเวลาเราไปที่ไหนคนรอที่จะฟังเพลงเรา ไม่ต้องเรียกเขามาฟังเพลง แค่เราไปปรากฏตัวแล้วก็ร้องเพลงให้เขาฟัง แค่นั้นก็มีความสุข
แนวเพลงที่ถนัด
ก่อนหน้าผมก็ร้องเพลงร็อกเป็นหลักแต่ในช่วงที่ยังไม่ได้ออกอัลบั้มของตัวเอง เราร้องเพลงทุกแนวเลย สะเปะสะปะหาแนวถนัดของตัวเองไปเรื่อยๆ อยู่พักหนึ่ง จนรู้ว่า เฮ้ยจริงๆ แล้วเราชอบ “ร็อก” เราไม่จำเป็นที่จะต้องร้องไปวันๆ เพื่อตามใจคนฟัง แล้วเราไม่มีตัวตนฉะนั้นพอเราไม่มีตัวตนอาชีพนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นกับเราอย่างยั่งยืน ก็เลยหันกลับมาสร้างสิ่งที่เราชอบดีกว่า ก่อนหน้านั้นก็คร่ำหวอดอยู่หลายที่ครับ ไม่ว่าจะเป็นในล็อบบี้โรงแรม ร้านอาหาร ผับ คือร้องเพลงหลากหลายมาก ทั้งเพลงไทย สากล ก็เลยได้มีโอกาสเลือกเพลงที่ชอบและปรับตัว ตอนนั้นก็เริ่มรู้แล้วว่าชอบเพลงแนวร็อกก็เลยพยายามทำและถ่ายทอดออกไปให้ได้มากที่สุดจนเกิดเป็นตัวตนเราขึ้นมา

อัลบั้มชุดแรกตอนวัยเลข 3
ตอนนั้นชุดแรกที่ออก ผมอายุ 31 ปี ซึ่งส่วนตัวไม่เคยคิดจะออกอัลบั้มใดๆ เลยนะ ใฝ่ฝันแค่ว่า เวลาเราได้เล่นดนตรีแล้วเรามีความสุขแค่นั้นเอง เป้าหมายสูงสุดทางดนตรีที่คิดไว้ตอนนั้นคือ ไม่มี ไม่ได้คิด แต่ว่าเส้นทางก็พาเราเดินไปเอง เพราะความรัก พอเรารักเราก็ทำเต็มที่
เลือดศิลปิน
มาเองตามเส้นทางนะผมว่า เมื่อเราทำๆ และทำในสิ่งที่เราชอบ แล้วเราก็พัฒนา ก็เป็นเส้นทางที่จะถูกขยายต่อของมันไปเองแหละ ซึ่งอัลบั้มแรกก็ทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทำให้คนรู้จัก วงฟลาย จากเพลงใบไม้ ผมว่าสิ่งที่สื่อชัดเจนให้คนรู้จักวง ฟลาย ก็คือตัวเนื้อหาของเพลง ความเปรียบเทียบ เปรียบเปรย ภาษาของเพลงที่สวยงาม แล้วตัวตนเราแค่เป็นส่วนประกอบหนึ่งอยู่ตรงนั้น ทำให้คนก็จำภาพลักษณ์ของเราได้ แต่สำคัญที่สุดคือตัวเพลง ซึ่งหลักๆ ฟลาย มีอัลบั้มไม่ได้เยอะที่เห็นก็จะมี Fly 12 ปีก, Fly แมลงเพลง, Fly 2 K, Flyman และ Modifly ส่วนของผมเองก็จะมีอัลบั้มพิเศษเดี่ยวของตัวเองด้วย รวมไปถึงอัลบั้มเพลงประกอบละครอะไรต่างๆ บ้าง
ทรงผมกับภาพจำของแฟนๆ
ปกติไม่ได้เป็นแบบนี้นะ ช่วงแรกๆ ก่อนจะออกอัลบั้ม ไม่ได้โกนหัวมาก่อน ที่ได้ทรงนี้มาก็เพราะเป็นช่วงสกินเฮดดัง โปรโมเตอร์ก็แนะแนวมาว่าโกนหัวไหมเราก็เลยบอกว่าได้สิ แล้วก็ลองเทสต์ดู แล้วโอเคได้ ผมเองก็ไม่ติดอะไร หลังจากนั้นก็เป็นแบบนี้มาตลอด ผมไม่เคยคิดอยากจะมีผมเลยนะหลังจากนั้น (หัวเราะร่วน) ตอนนี้เราชินกับความเป็นตัวตนแบบนี้แล้วล่ะ

ยุคทองของ ฟลาย
อัลบั้มชุดแรกวงฟลายประสบความสำเร็จมากๆ เป็นวงดนตรีแนวใหม่ ได้รับรางวัลพระพิฆเนศทองพระราชทาน ด้วย ตอนนั้นได้ในเพลง ใบไม้ ซึ่งก็มีผู้ใหญ่ในค่ายแกรมมี่ พี่นิ่ม สีฟ้า เขียนเพลงใบไม้ ซึ่งก็ถามว่ารู้สึกอะไรกับความดังไหม ตอนนั้นไม่รู้สึกอะไรเลยนะ ไม่รู้ว่าตัวเองดัง แต่รู้สึกว่าเราได้ทำงานที่เรารัก แค่นั้นจริงๆ อาจจะเพราะว่าเราทำงานแบบที่เรารักมานานแล้ว ก่อนที่เราจะมีผลงานออกอัลบั้มเป็นศิลปินจริงๆ เคยทัวร์คอนเสิร์ตเยอะสุดวันหนึ่งก็ 2-3 งาน ก็จะเป็นช่วง Fly 2 K เพลง ชาวนากับงูเห่า ก็ค่อนข้างเหนื่อยเหมือนกันเพราะนักร้องต้องพักผ่อน เราใช้เสียงเยอะมากๆ คอจะระบม แต่ว่าเราก็ต้องจัดสรรตัวเอง
ความภูมิใจในวันนี้
ภูมิใจมาก และคนที่ผมระลึกถึงเสมอคือ พี่เต๋อ (เรวัต พุทธินันทน์) ที่ให้โอกาสวงพวกเรา วงนักดนตรีกลางคืน นักดนตรีภูธร ได้มีโอกาสมาทำงานที่ตัวเองรัก แล้วก็ได้เสนอผลงานนั้นออกสู่สาธารณชน พี่เต๋อเป็นคนแรกที่หยิบวงเหล่านี้มา วงแรกคือ วายน็อตเซเว่น(Y Not 7) และวงที่สอง คือ วงฟลาย (Fly) พี่เต๋อเป็นคนเปิดโอกาสให้กับพวกเรานักดนตรีที่แบบคือเล่นดนตรีไปวันๆ แต่พี่เต๋อเคยพูดไว้ว่า บุคคลเหล่านี้เขามีความตั้งใจที่จะเล่นดนตรี เวลาเอามาทำงานออกเทปมันจะง่าย และเขามีประสบการณ์ ผ่านอะไรมาเยอะโชกโชน เลยทำให้ง่ายที่จะจับมาสร้างงานให้เขา กับที่ต้องปั้นขึ้นมาใหม่กว่าจะใช้งานได้ กับพวกคนเหล่านี้ที่มีทักษะอยู่แล้ว แค่มาเติมอะไรบางอย่างที่เขาขาดไปเล็กๆ น้อยๆ แล้วให้โอกาสเขา ไม่จำเป็นที่จะต้องไปคัดรูปลักษณ์มา เพราะเพลงเป็นศิลปะ ผมก็เป็นหนึ่งคนที่ได้โอกาสจากพี่เต๋อ ได้มีอี๊ด ฟลาย ก็เพราะพี่เต๋อ
ช่วงชีวิตในวงการเพลงที่ลำบากใจ
ผมว่าเรื่องพวกนี้เป็นปกติอยู่แล้ว ในช่วงชีวิตหนึ่งของเรามีแน่นอน ช่วงที่เราพีคมากๆ ก็รับงานเยอะแยะ มีเงินมีทองเข้ามา แต่ถ้าวันหนึ่งจะมีการเปลี่ยนแปลง มีคลื่นลูกใหม่เกิดขึ้นมาก็เป็นเรื่องปกติผมเองเข้าใจอยู่แล้วเป็นสัจธรรม

แรงบันดาลใจเวลาท้อถอย
ผมไม่ค่อยท้อนะเพราะผมเข้าใจ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ดับไป แต่ถ้าเกิดเรายังตั้งอยู่เราก็ใช้ชีวิตให้มีคุณค่าแล้วพอเรารู้สึกว่าชีวิตกำลังดาวดิ่งไม่ดีเลย แล้วต้องหาทางแก้ไขเดี๋ยวนั้นไม่ใช่ผม ผมคิดว่าอะไรก็ได้ที่สามารถทำให้ครอบครัว คนที่เรารัก มีความสุขได้ ไม่จำเป็นจะต้องมีเงินเยอะ ส่วนหนึ่งที่รู้สึกแบบนี้น่าจะมาจากการได้ไปทำงานเป็นจิตอาสาในงานของพระเจ้าอยู่หัวในรัชกาลที่ 9 ผมไปทำเป็นแบรนด์แอมบาสซาเดอร์ให้กับมูลนิธิพระดาบส ผมชอบเอาตัวเองไปอยู่ตรงนั้น ก็ทำมาแล้วเกือบ 10 ปี ทุกวันนี้ก็เป็นอยู่ หน้าที่คือช่วยในเรื่องของการเป็นประชาสัมพันธ์ให้หลายๆ คนรู้จักโครงการนี้ช่วยกันบริจาคเงินเข้ามา เพื่อช่วยเด็กที่ด้อยโอกาส
ทำงานอย่างมีความสุข
เวลาเราไปทำงานเป็นจิตอาสาช่วยเหลือคนอื่นแบบนี้ผมว่าอย่างน้อยเราได้เห็นมุมมองของการให้ในรูปแบบที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ทำเป็นต้นแบบไว้ให้พวกเรามาโดยตลอด นี่คือการให้ที่แท้จริง เมื่อเรารู้จักการให้เวลาเราดาวน์หรือรู้สึกท้อแท้ใจก็จะน้อยลง ไม่มี เพราะคนอื่นก็ลำบากกว่าเราเยอะแยะ เราเห็นแล้ว คือเหมือนเป็นเชื้อเพลิง มีคนเคยบอกว่าเชื้อเพลิงที่แท้จริงในยามท้อแท้บางทีเราอยากไปหาให้คนอื่นช่วยให้กำลังใจเราหน่อย ซึ่งจริงๆ ไม่ใช่ เชื้อเพลิงในตัวเรานี่แหละเหมือนกับว่าเฮ้ยวันนี้เราได้ไปช่วยเหลือตรงนี้ ตรงนั้นไว้นะ พอนึกทีไรก็มีพลังอะไรประมาณนี้
ขึ้นเวทีประกวดแข่งขันร้องเพลงครั้งแรก
พอรู้ว่าเป็นการกุศลก็ตอบรับทันทีเลยครับ คือเป็นโปรเจกท์พิเศษที่ทำเพื่อน้องๆ หูพิการ ของรายการ “Stage Fighter ตำนานหมู่สู้ฟัด” ของช่องGMM2 ซึ่งจริงๆ ผมเป็นคนที่ไม่เคยประกวดหรือแข่งขันร้องเพลงบนเวทีไหนเลย นี่ครั้งแรกที่มาถ่ายรายการแล้วต้องร้องเพลงที่ไม่ใช่ของตัวเองจำได้ว่าเพลงแรกที่ร้องก็คือ เพลง ฝากเลี้ยง เกร็งมากทำอะไรไม่ถูกเลย พะวงเนื้อร้องด้วย ทำนองก็อาจจะพอคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่พอเราได้อยู่กับพี่ๆ น้องๆ ที่มาร่วมแข่งขันกันก็จะรู้สึกว่าสนุก พอทำงานไปหลายๆ เทปเรารู้สึกว่าไม่ใช่การแข่งขัน เป็นการแลกเปลี่ยนบางอย่างในตัวตนของแต่ละคนที่มีออกมาแสดงตัวตนออกมาผ่านบทเพลง ถ่ายทอดผ่านบทเพลงที่ไม่ใช่เพลงของเรา ตรงนี้แหละที่เป็นเสน่ห์สำคัญที่สุด อยากให้ดูและช่วยบริจาคกันเข้ามาช่วยน้องๆหูพิการกันเยอะๆ นะครับ เลขบัญชีก็นี่เลย บริษัท จีเอ็มเอ็มมีเดีย จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ เลขที่032-472-223-7 ตั้งแต่วันนี้ถึง 10 พ.ย. 2560

วิชาที่ได้จากงานดนตรี
สอนให้เรารู้จักความเป็นสาธารณะ ซึ่งแน่นอนที่สุดเวลาเราไปเจอแฟนเพลง เราจะอยากอยู่เป็นส่วนตัวแต่ผมไม่คิดอย่างนั้นนะ ผมจะพยายามนึกภาพแรกไว้ตลอดเวลาว่า ในช่วงที่เราออกงานใหม่ๆ เราอยากให้ทุกคนมาฟังเพลงเรา เราอยากเห็นหน้าทุกคนว่าใครบ้างที่เห็นงานเรา ใครบ้างจะฟังเพลงเรา แต่พองานเรา Success แล้ว ทำไมเวลาเราไปเจอผู้คนแล้วจะต้องหนีเขาล่ะ นี่คือคนที่ปั้นและสนับสนุนเรามาตลอด ซึ่งก็คือคนดู แฟนเพลง นี่แหละ เมื่อไหร่ที่เราออกไปที่สาธารณะ เราต้องยินดีที่จะเปิดรับทุกคนที่จะเข้ามา คุณต้องสำนึกไว้ว่าคุณจะต้องให้แฟนๆ เพราะเขาให้เรามาก่อนอันนี้คือสิ่งที่สำนึกมาตลอด และเราก็ต้องรู้จักระวังตัวด้วย ทำอะไรต้องเป็นแบบอย่างที่เป็นด้านบวก จะทำอะไรก็ต้องคิด มีคนมองเราอยู่ แต่บางทีเราก็ลืมว่าเราเป็นคนสาธารณะ แต่ไม่ได้เป็นอุปสรรคหรือปัญหาในการใช้ชีวิตผมเลยนะ ผมเข้าใจ
ครอบครัวแฮปปี้
มีลูกสองคนครับ คนโตผู้ชายอายุ 23 ปี ส่วนคนเล็กผู้หญิงก็ย่าง 16 ปี ผมก็เป็นคุณพ่อที่เหมือนกับคนอื่นๆ แหละ ทำให้ดีที่สุด ผมเป็นคนไม่ค่อยพูด อยากให้ลูกได้รู้เอง แต่จริงๆ ไม่ได้นะ เราต้องสั่งสอนเขานะ ผมก็อยากให้ลูกๆ มีอนาคต ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นคนที่เรียนสูง มีหน้าที่การงานที่สูงส่ง แค่ขอให้มีความรับผิดชอบเอาตัวเองให้รอด และเป็นคนดีของสังคมพอ ส่วนบั้นปลายชีวิตผมเองก็ไปเรื่อยๆ อยู่ในวงการเพลง วงการดนตรี แต่สิ่งหนึ่งที่คิดไว้ก็คือไปปลูกผัก ปลูกหญ้า เพราะว่าเคยบอกตัวเองไว้ว่าจะไม่ตายในกรุงเทพฯ แน่นอน จะไปใช้ชีวิตอยู่กับธรรมชาติ เพราะผมชอบความเป็นธรรมชาติ คิดว่าอยากจะไปอยู่เชียงใหม่
ลูกไม้หล่นใต้ต้น
ผู้ชายคนโตเขาก็เห็นเรามาตั้งแต่เด็ก สมัยที่เราทัวร์คอนเสิร์ตเยอะๆ ก็ไม่ได้เชิงปลูกฝังเรื่องดนตรีให้นะ แต่ถ้าเขามาถามก็บอก แต่ตัวผมเรียนรู้มาด้วยตัวเอง ผมก็เลยคิดว่าอยากให้ลูกเรียนรู้ด้วยตัวเอง แต่ยุคหลังกับยุคก่อนต่างกัน ยุคก่อนทิศทางที่มันชักนำไปในทางที่ไม่ดีมีน้อย แต่ปัจจุบันค่อนข้างอันตราย

เป็นพ่อนักปั้นไหม
เส้นทางนี้ผมมองว่าต้อง Born to be ด้วยตัวเอง 50:50 จริงๆ ถ้าเขาไม่มีทักษะอะไรเลยเราจะดันยังไงก็ไม่ได้ ซึ่งแววต่างๆ เหล่านี้มันจะฉายออกมาเองซึ่งเขาก็มีนะก็ซึมซับจากเรามาบ้าง แต่ถามว่าจะพัฒนาไปถึงไหนเราไม่รู้ อยู่ที่ตัวเขาเอง ส่วนผู้หญิงเป็นคนเงียบๆ ชอบเรียนหนังสือมากกว่า สองคนสองสไตล์
บทบาทความเป็นพ่อของลูก
ตั้งแต่เด็กๆ ผมจะชอบพาลูกๆ ไปต่างจังหวัด แล้วชอบไปแจกของช่วยเหลือคนยากไร้ เพื่อที่จะปลูกฝังให้น้องๆ ได้ซึมซับ แต่ว่าในสังคมเมืองน่ากลัวมากๆ เพราะมีสิ่งที่จะดึงดูดเขาให้ไปในทิศทางที่ไม่ดีมีสูงมาก สิ่งที่เขาสั่งสมมาตั้งแต่เด็กๆ เขาอาจจะยังไม่จำเพราะเล็กเกินไป นี่ก็เป็นบทเรียนให้ผมอันหนึ่งนะ เวลาเพื่อนๆ หรือน้องๆ มีลูก ก็เลยอยากบอกจากประสบการณ์เราเองว่า ถ้าจะสอนให้ลูกจดจำอะไรบางอย่างต้องให้เขาอายุ 5-7 ขวบขึ้นไป เพราะบางคนพาไปตั้งแต่เด็กๆ เขายังไม่ซึมซับครับ เด็กจะเริ่มตั้งแต่ 4-5-6-7 ขวบ ต้องเริ่มทำสิ่งเป็นประโยชน์ แล้วสร้างภูมิคุ้มกันให้เด็กตั้งแต่ช่วงเวลานั้น แต่แน่นอนล่ะว่าเราเลี้ยงลูกเรารักประคบประหงม 3-4 ขวบแต่ถ้าจะเติมบางสิ่งบางอย่างเพื่อให้เป็นภูมิคุ้มกันให้เขา ต้องเติมในช่วงเวลาที่เขาจำได้ เวลาเขาทำผิดเขาจะได้นึกออกมาเอ้ย พ่อเคยบอกตอนนี้ พ่อเคยพาไปที่นี่ตอนนั้น ให้เขาสะเทือนความรู้สึกแล้วเขาจะได้ฝังเข้าไปในจิตสำนึกเขาได้ ผมเองก็เคยเจอกับตัว บางทีลูกจำไม่ได้ว่าเราเคยสอนอะไรเขาไปบ้าง ฉะนั้นสิ่งสำคัญคือ เหตุการณ์ประทับใจ จะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดี บางคนเวลาจะผิดทางไปก็มักจะนึกภาพตอนประทับใจอะไรสักอย่าง
มุมมองต่อวงการเพลงปัจจุบัน
ความแตกต่างในอดีตกับตอนนี้คือ ความหลากหลายของเพลง แนวเพลง มีมากขึ้น ไม่เหมือนในยุคของเราที่แนวเพลงที่คนฟังจริงๆ มี ป๊อป แดนซ์ ร็อก และอาจจะมีเร้กเก้ บ้าง แต่เดี๋ยวนี้มี ฮอพฮอพ อะไรต่างๆ นานา

เครียดกับสถานการณ์เพลงตอนนี้ไหม
ไม่เลยนะ ผมคิดว่าตัวตนของเรา งานของเรา ก็เป็นในแบบเรา ซึ่งไม่จำเป็นที่จะต้องไปเปลี่ยน หรือปรับอะไร แต่ถ้าเกิดว่าเปลี่ยนไปแล้วคนที่เคยเป็นแฟนเพลงเราอยู่ล่ะ เขาก็จะรู้สึกว่าทำไม เปลี่ยนไปเพื่ออะไร แค่เอาตัวตนคุณแล้วก็สร้างงานในแบบที่เขารู้สึกได้ แบบที่เขาเคยรู้สึก วันเวลายุคสมัยเปลี่ยนใหม่ แต่เราไม่จำเป็นจะต้องไปเปลี่ยนแนวอะไรหรอก ซึ่งหลักการแบบนี้ศิลปินในต่างประเทศเองก็ทำกันมา อย่างไมเคิล แจ๊กสันมีอัลบั้มกี่ชุดๆ ก็ยังเป็น ไมเคิล แจ๊กสัน ซึ่งจริงๆ แล้วแต่ละคนมีทิศทาง และเอกลักษณ์ในแนวของตัวเอง เราเพียงแค่เราสร้างงานแล้วก็สามารถถ่ายทอดงานต่างๆ ออกไปแล้วคนฟังได้รับประโยชน์ ได้สัมผัสความรู้สึกของงานเราแค่นั้นก็พอจบล่ะ
สิ่งที่อยากลองแต่ยังไม่มีโอกาส
ละคร หรือ หนัง ก็อยากเล่นสักครั้งหนึ่งนะตั้งแต่เด็กๆ ผมเป็นคนที่ดูหนังเยอะมาก ดูหนังตั้งแต่สมัยหนังจีนฟันดาบ พอโตมาก็ดูหนังฝรั่ง จริงๆ ถ้ามีโอกาสก็อยากจะเล่นหนังเล่นละครนะ แต่ก็กลัวว่าเราไม่ได้มาสายนี้โดยตรง ก็กลัวจะไปถ่วงกองถ่ายเขาเพราะเขาก็มีหลายส่วนที่เกี่ยวข้อง ไหนจะเรื่องของเวลาอีก กลัวว่าสิ่งที่เราไม่ชำนาญพอเราไปทำแล้วจะถ่วงคนอื่น ตัวเราเองจะทำไมได้ แต่ใจลึกๆ อยากทำสักครั้งหนึ่ง จะให้ผมแสดงเป็นบทอะไรก็ได้ ก็มีคนติดต่อมานะแต่ไม่กล้ารับ ก็พยายามฝ่าด่านกำแพงหนึ่งที่มันฝ่าไม่ได้สักที ตอนนี้ก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเมื่อไหร่นะ (หัวเราะร่วน)
รอดูกันว่า อี๊ดจะฝ่ากำแพงความกลัว ออกมามีผลงานการแสดงให้เราได้ชมกันหรือไม่!?
กุหลาบสีเงิน