แตกใบอ่อน : ทิศทางและอนาคตของเกษตรกรไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/304749

807934531

แตกใบอ่อน : ทิศทางและอนาคตของเกษตรกรไทย

วันพฤหัสบดี ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ในช่วงนี้ถ้าจะถามว่าจะทำอะไรดี จะปลูกอะไรดี จะขายอะไรดี…ผู้ที่ถูกถามคงอึดอัดลำบากใจมิใช่น้อย เพราะเศรษฐกิจของไทยหลายด้านไม่ค่อยจะดี และอยู่ในช่วงปรับเปลี่ยนในหลากหลายมิติ เช่น การปรับยุทธศาสตร์ชาติระยะยาวเป็น 10 ปี 20 ปี ซึ่งก็ยังไม่แน่ใจว่าการที่เราวางแผนยาวนานเกินไปนั้น จะเป็นสิ่งที่ดีหรือไม่กับโลก “ดิจิตอล” ที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้ามีการตั้งกฎระเบียบ กฎเกณฑ์ที่ไม่ยืดหยุ่น หรือไปล็อกอะไรมากๆ เข้า ก็ไม่รู้ว่าระยะยาววิถีชีวิตของลูกหลานในอนาคต จะสอดคล้องกับสิ่งที่รัฐบาลยุคนี้วางไว้หรือไม่

หลายท่านคงจะทราบกันดีว่าประเทศชาติของเรากำลังมุ่งไปสู่ไทยแลนด์ 4.0ต้องการก้าวข้ามไปสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ภาครัฐพยายามจะทำให้ประชากรมีรายได้ 12,000-15,000 เหรียญสหรัฐต่อคนต่อปี ให้ได้ภายใน 20 ปี แต่ก็ไม่แน่ใจว่าการส่งเสริมเกษตรกรรมภายใต้ไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นให้เกษตรกรเป็นสมาร์ทฟาร์มเมอร์ หรือเกษตรแปลงใหญ่นั้นมีความชัดเจนมากน้อยเพียงใด

ที่สำคัญเกษตรกรส่วนใหญ่รู้ชะตากรรมหรือไม่ว่า รัฐบาลอาจจะกำลังพยายามลดสัดส่วนจำนวนของเกษตรกรให้น้อยลง เหมือนกับประเทศที่พัฒนาแล้ว อย่าง ยุโรป อเมริกา และญี่ปุ่น ที่มีเกษตรกรอยู่เพียงส่วนน้อยแต่เป็นรายใหญ่ ประชาชนที่เหลือก็จะเป็นแรงงาน เป็นพนักงานบริษัท ทำให้ชาวยุโรป อเมริกา กลัวการตกงานเป็นอย่างมาก เพราะอาชีพรองรับด้านการเกษตรไม่มีเหมือนบ้านเรา

ประเทศไทยมีเกษตรกรประมาณเกือบ 20 ล้านคน สมมุติถ้าสัดส่วนเกษตรกรในอนาคตลดลงเหลือแค่ 5% ที่มีความสามารถหรือมีศักยภาพในการทำเกษตรแปลงใหญ่ หรือเกษตรกรรมที่ใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วยได้ เกษตรกรส่วนที่เหลือจะไปอยู่ตรงไหน ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor) ที่รัฐพยายามผลักดัน จะมีตำแหน่งงานรองรับเพียงพอกับจำนวนคนจากภาคการเกษตร ซึ่งเป็นรุ่นลูกหลานของเกษตรกรในปัจจุบันหรือไม่ สิ่งต่างๆ เหล่านี้เป็นเรื่องที่ต้องคิดให้ดี

“ชะตากรรมของเกษตรกรไทย” หากจะดำรงอยู่รอดได้ เชื่อว่าน่าจะต้องอาศัยความรู้ความสามารถของตัวเกษตรกร รวมถึงการสนับสนุนของภาครัฐในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของเกษตรกรไทย ให้ปลอดภัยไร้สารพิษ เพื่ออำนาจการต่อรองกับนายทุนจากทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการให้ความสำคัญในเรื่องของการพัฒนาตนเองให้มีความรู้ในการลดต้นทุน เน้นการสร้างปัจจัยการผลิตด้วยลำแข้งของตนเอง เพื่อสร้างแหล่งอาหารที่ปลอดภัย ทดแทนการใช้สารเคมีและพิษ ไม่ว่าจะเป็นการทำปุ๋ยหมัก ปุ๋ยคอก จากเศษซากอินทรียวัตถุที่ได้จากการเก็บเกี่ยวผลผลิต การผลิตจุลินทรีย์ย่อยสลายอินทรียวัตถุของตนเอง อย่างจุลินทรีย์จากมูลสัตว์เคี้ยวเอื้อง (วัว ควาย แพะ แกะ) ทดแทนการนำเข้าจุลินทรีย์จากต่างประเทศ การให้ความสำคัญกับจุลินทรีย์ท้องถิ่นสายพันธุ์ไทย โดยการหมักขยายกับน้ำมะพร้าวอ่อน นมยูเอชที ไข่ไก่ แป้งข้าวโพด แป้งข้าวเจ้า แป้งข้าวเหนียว ในการป้องกันปราบปราบโรคแมลงศัตรูพืช ทดแทนการใช้สารเคมีวัตถุอันตรายที่ต้องนำเข้าจากต่างประเทศกว่า 20,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่สูงมากๆ มองในแง่ปริมาณของสารวัตถุอันตรายทั้งหมดก็จะมีมากถึงกว่า 160,000,000 กิโลกรัม (หนึ่งร้อยหกสิบล้านกิโลกรัม หรือ หนึ่งแสนหกหมื่นตัน) ลองคิดดูว่าปริมาณสารต่างๆ เหล่านี้ไปอยู่ที่ไหน ซึ่งล้วนแล้วแต่นำไปฉีดพ่น ราด รด พื้นดินแหล่งเพาะปลูกทั่วประเทศ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นป่าต้นน้ำ เช่น เชียงใหม่ เชียงราย แพร่ น่าน เพชรบูรณ์ ตาก ฯลฯ และสารพิษที่ตกค้างเหล่านี้เมื่อฝนตกก็ถูกชะล้างไหลลงสู่เขื่อน ห้วย หนอง คลอง บึง ทำให้ระบบนิเวศต่างๆ อย่าง สัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา ล้มหายตายจาก บางชนิดอาจจะกลายพันธุ์ หรือสูญพันธุ์ไป

ทิศทางของภาคการเกษตรไทยนั้น ถ้ามุ่งไปสู่การทำเกษตรที่ดี มีคุณภาพ ปลอดภัยไร้สารพิษ หรือเกษตรอินทรีย์ รวมถึงแปรรูปให้หลากหลายสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค ก็จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มได้ และผู้บริโภคทั่วโลกก็จะหันมานำเข้าอาหารที่ปลอดภัยจากภาคเกษตรของไทย สำหรับผู้ที่มีข้อสงสัยหรือต้องการคำปรึกษา สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่โทร. 0-2986-1680-2

มนตรี บุญจรัส

ชมรมเกษตรปลอดสารพิษ

Leave a comment