ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/308077

รายงานพิเศษ : เจาะลึก…แผนบริหารจัดการน้ำกรมชลประทาน
ฤดูฝนปีนี้มีพายุพัดผ่านประเทศไทยหลายลูกไม่ว่าจะเป็นพายุโซนร้อน “ตาลัส” พายุโซนร้อน “เซินกา” พายุไต้ฝุ่น “ทกซูรี” ตลอดจนยังมีพายุดีเปรสชั่น หย่อมความกดอากาศต่ำที่ทำให้เกิดฝนตกหนัก จนเกิดภาวะน้ำท่วมในหลายพื้นที่ โดยเฉพาะในพื้นที่ลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำมูลในภาคอีสาน และบริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่เปรียบเสมือนอู่ข้าวอู่น้ำของประเทศ ก็ได้รับผลกระทบจากพายุที่พัดผ่านเช่นกัน แต่ด้วยมีการวางแผนบริหารจัดการน้ำที่ดีทำให้ผลผลิตทางการเกษตรแทบจะไม่ได้รับความเสียหายเลย แม้จะมีภาวะน้ำท่วมเกิดขึ้นในบางพื้นที่ก็ตาม โดยกรมชลประทานใช้ศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ (Smart Water Operation Center) หรือ SWOC ที่เพิ่งเปิดใช้งานปีนี้เป็นปีแรก เป็นศูนย์บัญชาการในการประมวลวิเคราะห์ ติดตาม และพยากรณ์สถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่อง
ดร.ทองเปลว กองจันทร์ ช่วยราชการในตำแหน่งอธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า ก่อนที่จะเข้าฤดูฝน กรมชลประทานได้วางแผนบริหารจัดการน้ำ โดยได้คาดการณ์ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 34 แห่งทั่วประเทศ พร้อมทำการพร่องน้ำให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพื่อที่จะสามารถรองรับน้ำฝนที่ตกลงมาให้ได้มากที่สุด และใช้ในการหน่วงน้ำ ในขณะเดียวกัน จะต้องไม่ระบายน้ำออกมากเกินไป เพราะจะต้องมีปริมาณน้ำสำรองกักเก็บไว้ให้เพียงพอ สำหรับใช้ในกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะการทำนาปรังช่วงฤดูแล้งของฤดูกาล 2560/61 ด้วย
ในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา กรมชลประทานดำเนินการตามนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้มีการปรับเปลี่ยนปฏิทินการปลูกพืชให้เร็วขึ้น เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวแล้วเสร็จก่อนฤดูน้ำหลากจะมาถึง เพื่อใช้พื้นที่ดังกล่าวรับน้ำฝนในพื้นที่และใช้เป็นทุ่งหน่วงน้ำชะลอการระบายน้ำไม่ให้กระทบกับพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างที่อาจจะท่วมในพื้นที่ชุมชน เศรษฐกิจ และพื้นที่ราชการ ซึ่งอาจจะสร้างความเสียหายในภาพรวมของประเทศได้ จำนวน 13 ทุ่ง ประกอบด้วยพื้นที่เจ้าพระยาตอนบนจำนวน 1 ทุ่ง คือทุ่งบางระกำ มีพื้นที่รวมประมาณ 0.26 ล้านไร่ วางแผนรับน้ำประมาณ 400 ล้านลูกบาศก์เมตร และ 12 ทุ่งในพื้นที่เจ้าพระตอนล่าง มีพื้นที่ประมาณ 1.15 ล้านไร่ วางแผนรับน้ำประมาณ 1,500 ล้านลูกบาศก์เมตร รวมปริมาณน้ำที่วางแผนตัดยอดน้ำ ประมาณ 1,900 ล้านลูกบาศก์เมตร รักษาระดับน้ำในทุ่งลึกประมาณ 1.5-2.5 เมตร ตามสภาพพื้นที่ในทุ่งไม่ให้กระทบต่อการสัญจรไปมา และการดำเนินชีวิตประจำวันของประชาชนในพื้นที่ โดยมีการสร้างกระบวนการรับรู้ให้กับประชาชนในพื้นที่อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอดตั้งแต่ปลายปี 2559 ที่ผ่านมา มีการวางแผนตรวจสอบอาคารชลประทานให้พร้อมรับสถานการณ์ การจัดจราจรทางน้ำ กำจัดวัชพืชและสิ่งกีดขวางทางน้ำ ตลอดจนเตรียมความพร้อมเครื่องสูบน้ำ เครื่องผลักดันน้ำ เรือผลักดันน้ำ และเครื่องจักรกล เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำ
เมื่อเริ่มเข้าฤดูฝนการบริหารจัดการน้ำส่วนใหญ่เป็นไปตามแผนที่วางไว้ เริ่มดำเนินการผันน้ำเข้าทุ่งบางระกำเป็นลำดับแรกตั้งแต่เดือนสิงหาคม 2560 และอีก 12 ทุ่งที่เหลือในลุ่มเจ้าพระยาตอนล่างสามารถหน่วงน้ำตัดยอดน้ำเก็บกักในทุ่งได้ถึง 2,185 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยเก็บกักในทุ่งบางระกำ ประมาณ 500 ล้านลูกบาศก์เมตร และที่เหลือประมาณ และ 12 ทุ่งที่เหลือประมาณ 1,685 ล้านลูกบาศก์เมตร วางแผนระบายน้ำออกจากทุ่งให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 15 ธันวาคม 2560 แต่จะยังคงเหลือน้ำค้างทุ่งบางส่วนที่เก็บกักในคลองส่งน้ำ ประมาณ 439 ล้านลูกบาศก์เมตร จากปริมาณน้ำที่คงค้างดังกล่าว อยู่ในทุ่งบางระกำ 100 ล้านลูกบาศก์เมตร และใน 12 ทุ่งเจ้าพระยาตอนล่างอีกประมาณ 339 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อให้เกษตรกรใช้ในการเพาะปลูกข้าวในฤดูการถัดไปตามแผนและข้อตกลงที่ได้สร้างการรับรู้กับประชาชนในพื้นที่ของแต่ละทุ่งแล้ว
สำหรับภาคอีสานที่ประสบปัญหาน้ำท่วม เนื่องจากฝนที่ตกหนักในพื้นที่ ทั้งด้านเหนืออ่างเก็บน้ำ และท้ายอ่างฯ ส่งผลให้เกิดน้ำท่วมขังในพื้นที่ อีกทั้งยังมีปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนลำปาวและเขื่อนอุบลรัตน์เป็นจำนวนมาก กรมชลประทานได้บริหารจัดการโดยจัดจราจรน้ำ ซึ่งได้ทยอยระบายน้ำจากเขื่อนลำปาวก่อน จากนั้นจึงเริ่มระบายน้ำจากเขื่อนอุบลรัตน์ เป็นลำดับถัดมา โดยเฉพาะเขื่อนอุบลรัตน์ มีปริมาณน้ำไหลเข้าอย่างต่อเนื่อง จนทำให้มีปริมาณน้ำสูงสุดถึง 2,969 ล้านลูกบาศก์เมตร หรือร้อยละ 122 ของปริมาณการกักเก็บ เมื่อวันที่ 23 ตุลาคม 2560 ซึ่งเกินปริมาณความจุ ทำให้ต้องเพิ่มการระบายน้ำ
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ได้ลดการระบายลงเหลือวันละ 8.30 ล้านลูกบาศก์เมตร ทำให้พื้นที่ส่วนใหญ่กลับเข้าสู่สภาวะปกติ มีการเตรียมแปลงทำนาปรังแล้ว คาดว่าฤดูแล้งปีนี้จะสามารถส่งน้ำเพื่อสนับสนุนการเกษตรได้เต็มพื้นที่ ตามความต้องการของเกษตรกรอย่างแน่นอน
ส่วนภาคใต้ยังเป็นพื้นที่ที่จะต้องเฝ้าระวัง เพราะขณะนี้เป็นช่วงฤดูฝนของภาคใต้ แต่กรมชลประทาน ได้เตรียมความพร้อมด้วยการบูรณาการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อเตรียมรับสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้น โดยได้มีการขุดลอกคลองต่างๆ กำจัดสิ่งกีดขวางทางน้ำ พร้อมได้ส่งเครื่องจักร เครื่องมือ ประกอบด้วย เครื่องสูบน้ำ 380 เครื่อง เครื่องผลักดันน้ำ 180 เครื่อง เครื่องกำเนิดไฟฟ้า 63 เครื่อง รถบรรทุก 34 คัน รถขุดตีนตะขาบ 30 คัน รถแทรกเตอร์ 3 คัน และรถลากจูง 12 คัน ไปไว้ที่จุดพักเครื่องจักร 16 แห่งในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้พร้อมเตรียมรับสถานการณ์ไว้แล้ว
นอกจากนี้ ยังได้พร่องน้ำในอ่างเก็บน้ำต่างๆ ให้อยู่ในระดับเกณฑ์ควบคุมการบริหารจัดการอ่างเก็บน้ำ และได้สั่งการให้โครงการชลประทานในพื้นที่เฝ้าระวังเตรียมรับสถานการณ์น้ำจากฝนตกหนักและน้ำท่วมที่อาจจะเกิดขึ้นอย่างใกล้ชิด รวมทั้งจัดทำข้อมูลเพื่อเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ผ่านทางช่องทางต่างๆ และรายงานให้ผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบสถานการณ์น้ำอย่างต่อเนื่องโดยมีศูนย์ปฏิบัติการน้ำอัจฉริยะ เป็นศูนย์บัญชาการและบริหารจัดการน้ำ
ขณะนี้พื้นที่ภาคเหนือ ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สิ้นสุดฤดูฝนแล้ว ปริมาณน้ำที่กักเก็บในอ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้งประเทศ 34 แห่ง ค่อนข้างดี ปัจจุบัน (1 ธ.ค. 2560) สถานการณ์อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ มีปริมาณน้ำในอ่างฯ 60,154 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 85 ของความจุอ่างฯ เป็นน้ำใช้การได้ 36,610 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 77 มากกว่าปี 2559 จำนวน 9,558 ล้านลูกบาศก์เมตร (ปี 2559 มีน้ำใช้การได้ 27,052 ล้านลูกบาศก์เมตร) โดยมีอ่างฯ ที่น้ำอยู่ในเกณฑ์ดีมาก คือ น้ำมากกว่า 80% ถึง 22 แห่ง อยู่ในเกณฑ์ดี-พอใช้ 12 แห่ง และไม่มีอ่างฯ ที่อยู่ในเกณฑ์น้ำน้อย ในส่วนของลุ่มเจ้าพระยา อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ทั้ง 4 แห่งมีปริมาณน้ำใช้การดังนี้ เขื่อนภูมิพล 7,180 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 74 เขื่อนสิริกิติ์ 5,676 ล้านลูกบาศก์เมตร คิดเป็นร้อยละ 76 ในขณะที่เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนกับเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ มีปริมาณน้ำใช้การ 100 % คือ 897 และ 957 ล้านลูกบาศก์เมตร ตามลำดับ (ข้อมูล ณ วันที่ 1 ธันวาคม 2560) ซึ่งถือว่ามีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำค่อนข้างดีมาก จะส่งผลดีต่อการวางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งที่จะมาถึง คาดว่าจะมีการปลูกนาปรังเต็มพื้นที่ทั่วประเทศ ประมาณ 8.35 ล้านไร่ โดยอยู่ในลุ่มเจ้าพระยาประมาณ 5.17 ล้านไร่ อย่างไรก็ตามต้องขึ้นกับนโยบายข้าวครบวงจรของรัฐบาล ที่จะมีการควบคุมพื้นที่การเพาะปลูกในแต่ละรอบการทำนาด้วย
กรมชลประทานวางแผนจัดสรรน้ำในฤดูแล้งปี 2560/2561 จากปริมาณน้ำใช้การทั้งประเทศ ณ วันที่ 1 พฤศจิกายน 2560 จำนวน 42,313 ล้านลูกบาศก์เมตร จัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภค-บริโภค 2,167 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อระบบนิเวศและอื่นๆ 6,948 ล้านลูกบาศก์เมตร สำรองน้ำต้นฤดูฝน 16,797 ล้านลูกบาศก์เมตร และเพื่อภาคการเกษตร 15,952 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อการเพาะปลูกพืชประมาณ 13.75 ล้านไร่ ปัจจุบัน เพาะปลูกแล้ว 1.16 ล้านไร่ (ข้อมูลเพาะปลูก ณ วันที่ 22 พฤศจิกายน 2560)
ในลุ่มน้ำเจ้าพระยา กรมชลประทาน วางแผนจัดสรรน้ำในฤดูแล้ง ปี 2560/61 จากปริมาณน้ำ 14,187 ล้านลูกบาศก์เมตร โดยจัดสรรน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภค 1,140 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อการรักษาระบบนิเวศน์และอื่นๆ 1,450 ล้านลูกบาศก์เมตร เพื่อการเกษตร 5,110 ล้านลูกบาศก์เมตร และจะเหลือน้ำสำรองต้นฤดูฝนปี 2561 (พฤษภาคม-กรกฎาคม) อีกประมาณ 6,487 ล้านลูกบาศก์เมตร
การบริหารจัดการน้ำทั้งประเทศในปีนี้จะสำเร็จมากน้อยแค่ไหน?เป็นไปตามแผนที่วางไว้หรือไม่? เป็นเรื่องที่ท้าทายความสามารถของอธิบดีกรมชลประทานคนใหม่ที่ชื่อ “ดร.ทองเปลว กองจันทร์”
