แตกใบอ่อน : ‘พาราควอต’ใช้ผิดยิ่งพิษแรง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/310018

807934531

แตกใบอ่อน : ‘พาราควอต’ใช้ผิดยิ่งพิษแรง

วันพฤหัสบดี ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

2 สัปดาห์ก่อนเขียนถึงกรณี “กรมวิชาการเกษตร”ทยอยต่ออายุทะเบียนนำเข้าและจำหน่ายยาฆ่าหญ้า “พาราควอต” ให้กับบรรดาบริษัทเอกชนต่างๆ ทั้งที่มีข้อทักท้วงเรื่องปัญหาสุขภาพจาก คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ที่มีรมว.สาธารณสุข เป็นประธาน

มาสัปดาห์นี้มีข้อมูลใหม่เกี่ยวกับผลกระทบการใช้ “พาราควอต” ซึ่งนักวิจัยจาก สํานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) ลงพื้นที่ตรวจสอบพบมา และพบปัญหาที่น่าเป็นห่วงเกี่ยวกับการใช้“พาราควอต” ที่ผิดวิธี กระทั่งทำให้เกิดปัญหา“โรคเนื้อเน่า” ตามมาในกลุ่มเกษตรกร

สกว.ให้ข้อมูลมาว่า รศ.ดร.พวงรัตน์ ขจิตวิชยานุกูล นักวิจัย สกว. จากมหาวิทยาลัยนเรศวร ร่วมกับ ทพญ.วรางคณา อินทโลหิต จากสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดหนองบัวลำภู และ ดร.ภาสกร บัวศรีผู้ประสานงานและนักวิจัยท้องถิ่น สกว. ลงพื้นที่หาปัจจัยการเกิด “โรคเนื้อเน่า” หลังพบสถิติผู้ป่วยที่ค่อนข้างสูง โดยตั้งแต่ปี 2557 โรงพยาบาลหนองบัวลำภู มีผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษาโรคดังกล่าวประมาณปีละ 120 ราย ขณะที่ปี 2560 ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ป่วยโรคนี้ 102 ราย เสียชีวิตแล้ว 6 ราย

โดยคณะวิจัยได้เก็บข้อมูลสถิติ สัมภาษณ์เกษตรกร และผู้ป่วย รวมถึงเก็บตัวอย่างสิ่งแวดล้อมเพื่อวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในดิน ตะกอนดิน น้ำในลำน้ำอ่างเก็บน้ำ และผัก ในเขต อ.สุวรรณคูหาเพื่อให้ได้ภาพเบื้องต้นของปัญหาที่เกิดขึ้นพบว่า เกษตรกรใช้สารเคมีหลายชนิด ได้แก่พาราควอต ไกลโฟเสต อาทราซีน และอามิทรีนในการกำจัดวัชพืชในแปลงของไร่ยางพาราและไร่อ้อย ซึ่งช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกษตรกรได้ขยายพื้นที่ปลูกอ้อยเป็นจำนวนมาก และใช้สารพาราควอตเป็นสารเคมีหลัก ทำให้มีการนำเข้าสารดังกล่าวมากกว่า 3 แสนลิตร และคาดว่าทั้งจังหวัดมีการใช้สารมากกว่า 8 แสนลิตรต่อปี จากการสัมภาษณ์พบว่าเกษตรกรนิยมใช้สารเคมีพาราควอตอย่างเข้มข้นมากกว่าที่ฉลากระบุถึง 4 เท่า โดยผสมสารพาราควอต 400 มิลลิลิตรกับน้ำ 20 ลิตร ซึ่งเป็นอัตราส่วนเข้มข้นสูงมาก ทำให้มีโอกาสของเกิดการตกค้างของสารเคมีในอ่างเก็บน้ำและลำน้ำในพื้นที่ในระดับความเข้มข้นที่สูงจนก่อให้เกิดอันตรายได้

ผลของงานวิจัยในส่วนของการเจ็บป่วยของเกษตรกร พบว่า พื้นที่ของจังหวัดหนองบัวลำภูมีผู้ป่วยด้วยโรคเนื้อเน่าเป็นอันดับ 1 ของผู้ป่วยแผนกศัลยกรรมของโรงพยาบาลหนองบัวลำภูตั้งแต่ปี 2553-2556 ปีละ 100-140 คน ส่งผลทำให้พิการหรือเสียชีวิตเกือบร้อยละ 10 ของผู้ป่วย โดยผู้ป่วยที่เข้ารับการรักษามักมีการสัมผัสกับน้ำในลำน้ำ นาข้าว หรืออ่างเก็บน้ำเป็นเวลานาน หลายรายมีบาดแผลในบริเวณแขน ขา จากการทำงานและไปล้างตัวในแหล่งน้ำที่รองรับสารเคมีทางการเกษตรดังกล่าว อาการผื่นบนผิวหนัง คัน และเกิดแผลไหม้ในบริเวณผิวหนังที่สัมผัสร่วมกับอาการเป็นไข้สูง เป็นอาการเริ่มต้นของโรคเนื้อเน่ามักเกิดขึ้นภายในเวลา 1-2 วัน ซึ่งต้องนำส่งผู้ป่วยเข้าสู่โรงพยาบาลโดยด่วน

จากสถิติของการรักษาโรค พบว่าผู้ป่วยหลายรายต้องถูกตัดอวัยวะขาหรือแขนเพื่อรักษาชีวิตไว้ โดยทางแพทย์ได้วินิจฉัยถึงการเป็นโรคที่มาจากแบคทีเรียเป็นสาเหตุหลัก ซึ่งอยู่ในกลุ่มของแบคทีเรียชนิดไม่ใช้อากาศ เช่น Bacteroides fragilis, Clostidium, Pepto Streptococcus และแบคทีเรียชนิดใช้อากาศ เช่น E.Coli, Enterobacter, Klebsiella, Proteus, non-group A streptococcus ซึ่งรวมถึงแบคทีเรีย Aeromonas hydrophila ที่ทำให้เกิดการติดเชื้อแบคทีเรียเหล่านี้ มักพบในแหล่งน้ำจืด ซึ่งจากผลการวิเคราะห์สารเคมีตกค้างในตัวอย่างสิ่งแวดล้อมโดยคณะนักวิจัย ได้ยืนยันว่าตัวอย่างสิ่งแวดล้อมทั้ง ดินตะกอนดิน ลำน้ำ และอ่างเก็บน้ำที่นำมาตรวจสอบนั้นมีการตกค้างของสารเคมีพาราควอตในทุกตัวอย่าง และอยู่ในระดับความเข้มข้นที่สูง ในขณะที่มีการตรวจพบสารเคมีทางการเกษตรชนิดอื่นๆ ในปริมาณต่ำมาก จึงมีแนวโน้มว่าแหล่งน้ำทั้งอ่างเก็บน้ำและลำน้ำในพื้นที่มีทั้งสารเคมีพาราควอตและเชื้อแบคทีเรียก่อโรคเหล่านี้ปนเปื้อนอยู่ร่วมกัน

เบื้องต้น คณะวิจัยได้รายงานผลต่อผู้ว่าราชการและคณะผู้บริหารจังหวัดหนองบัวลำภู โดยจังหวัดได้มอบนโยบายให้ดำเนินการค้นคว้าวิจัย เพื่อแก้หาสาเหตุและปัญหาของโรคที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีทางการเกษตรอย่างเร่งด่วน และให้มหาวิทยาลัยนเรศวร เสนอรายชื่อคณะนักวิจัยและดำเนินการวิจัยร่วมกัน เพื่อนำไปสู่ “หนองบัวลำภูโมเดล” ในการแก้ปัญหาดังกล่าว เพื่อนำขยายผลการแก้ปัญหาไปสู่พื้นที่ในจังหวัดอื่นๆ ในภาคอีสานตอนบน ซึ่งประสบปัญหา “โรคเนื้อเน่า” อยู่ในลักษณะเดียวกันในหลายจังหวัดต่อไป

นี่แหละครับคือตัวอย่างของพิษภัยจากสารเคมี “พาราควอต” ซึ่งมีความเป็นพิษสูงอยู่แล้ว และยิ่งนำมาใช้อย่างผิดวิธี ก็จะยิ่งส่งผลรุนแรงตามมาอย่างมากมาย ทั้งในแง่สุขภาพประชาชน รวมถึงการตกค้างของสารพิษในแหล่งน้ำและผิวดินตามธรรมชาติ

มะลิลา

Leave a comment