ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/295042

Star Retro : ‘แหม่ม-เนรัญญา’ นักเขียนสาวสุดสตรอง ตัวแทนผู้หญิงยุคใหม่
เบื้องหน้าคือนักแสดงสาวจอมขโมยซีนในละครหลายต่อหลายเรื่อง แต่เบื้องหลัง “แหม่ม-เนรัญญา มะชะรา” คือผู้เขียนบทละครเจ้าของนามปากกา “ต้นรัก, คนเขียนเงา,เจ้าคำดี และ กำไลทอง” เมื่อได้โอกาส “ทีมข่าวบันเทิงแนวหน้า” จึงต้องขอทำความรู้จักตัวตนอีกด้านของหญิงเก่งคนนี้
หน้าที่ความรับผิดชอบ ณ วันนี้
งานหลักคือเป็นคุณแม่เลี้ยงลูกสาวสองคนค่ะก็ต้องตื่นมาดูแลเขาไปโรงเรียน คนโตชื่อ “น้องเพลง” ซึ่งเขาไปเอง แต่ว่าคนเล็ก “น้องภีม” เพิ่งเก้าขวบ เราต้องดูแลเยอะหน่อย ไปรับไปส่ง กว่าจะจบภารกิจในแต่ละวัน แล้วก็จะมีทำงานบ้าน บางอย่างที่สามีทำแทนไม่ได้พอทำงานบ้านเสร็จก็ค่อยมาเริ่มเขียนบทช่วงกลางวันแต่สักช่วงบ่ายสามต้องหยุดทุกอย่างเพื่อมารับลูกคนเล็ก รับลูกเสร็จก็หาอาหารให้เขา และจะมาจัดการเรื่องลูกทั้งสองคนเข้านอนเสร็จก็เขียนบทต่อรอบดึก ถ้าง่วงก็นอนเร็วหน่อย เที่ยงคืนตีหนึ่ง แต่ถ้ามันรีบหรือว่าเป็นช่วงติดพันก็จะยาวไปเลย แต่จะยาวแค่ไหน ตีห้าก็ต้องเบรกเพื่อไปจัดการเรื่องลูก จะวนไปแบบนี้ทุกวัน งานหลักก็เหมือนว่ามีสองงานเลยค่ะ คือเลี้ยงลูกแล้วก็เขียนบทละคร ใช้เวลาพอๆ กันเลยค่ะ ไม่ได้มีงานประจำที่ไหน แต่ก็จะมีผูกปิ่นโตกับบางที่คือมีหน้าที่รับผิดชอบประจำให้กับเขา อย่างเช่นที่ “มีเดีย สตูดิโอ” ซึ่งเราช่วยดูบท เป็นที่ปรึกษาออกไอเดีย

ทำงานเบื้องหน้าและเบื้องหลังควบคู่กันไป
เริ่มทำงานเบื้องหลังตั้งแต่ตอนที่เรียนมหาวิทยาลัยแล้วค่ะ เป็นครีเอทีฟทำสคริปต์แต่ว่าไม่เชิงเป็นละคร เราเรียนศิลปการละครมาจากอักษรจุฬาฯ และมีรับจ๊อบไปเล่นละครที่เป็นสารคดีบ้าง แล้วพอเรียนจบออกมาก็มีลูก คือแหม่มแต่งงานเร็ว เรียนจบก็ได้ทำงานในกองถ่าย เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ วิ่งทำทุกย่าง ต่อบทนักแสดง สักพักก็ขยับขึ้นมาเขียนบท งานเขียนบทกับงานแสดงเริ่มมาพร้อมๆ กัน คือเราก็เล่นละครควบคู่ไปด้วย เป็นเอ็กซ์ตร้าด้วย แต่ถ้าเขียนบทละครแบบจริงจังจะมาทีหลัง เพราะเรารู้สึกว่าเราเป็นเป็ดเกินไป เดี๋ยวเล่น ทำกองถ่าย เป็นครีเอทีฟเป็นสเตจ แต่ยังไม่ได้ทำอะไรที่เป็นอาชีพ เราก็เลยคิดว่าอยากจะทำอะไรที่มันจริงจัง แต่ถ้าจะให้ไปเป็นพนักงานประจำก็ไม่ใช่จริต เลยไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร จนกระทั่งวันนึงเหมือนชะตาลิขิตมาว่าให้เราลองมาจับงานเขียนบทช่วยพี่เขา พี่ที่เป็นเจ้าของบริษัทอีเว้นท์ที่จ้างเราเป็นฟรีแลนซ์ที่เราเคยเขียนสคริปต์รายการสคริปต์อีเว้นท์ พี่เขาก็คงจะเห็นศักยภาพค่ะก็เลยชักชวนให้เรามาช่วยเขียนบทละครโทรทัศน์
บทละครโทรทัศน์เรื่องแรกที่เขียน
เรื่อง “เจ้าสาวของอานนท์” เวอร์ชั่น “พี่จอนนี่ แอนโฟเน่” กับ “เชอรี่ ผุงประเสิร์ฐ” ออกอากาศทางช่อง 5 “อารุจน์ รณภพ” เป็นคนกำกับ ปี 2541 ที่เริ่มเขียนบทละคร เขียนร่วมกับ“พี่เจี๊ยบ-พิมพ์กมล ประเสริฐวงศ์” แล้วก็ใช้ชื่อเดิม ปิยะมาศ ก็มาเขียนแบบงงๆ เหมือนกันแต่โอเคด้วยความที่ไม่มีทฤษฎีอะไรที่ตายตัว และโชคดีที่เราเคยเรียนมาบ้างกับ “ครูโม-อาจารย์นลินี สีตะสุวรรณ”แล้วก็เรียนกับ “ครูช่าง-ชลประคัลภ์ จันทร์เรือง”ในด้านของการเขียน เลยเป็นการเอาความรู้ที่มันเลือนลาง(หัวเราะ) มาบวกกับว่าเราเป็นคนที่ชอบดูละครและช่วยงานในกองถ่ายอยู่ เราเห็นอะไรก็เอามาใช้หมดเลย เขียนๆไปไม่รู้หรอกว่าถูกหรือผิด รู้สึกว่ามันคือทางของเราเลย เพราะว่าหนึ่ง ได้อยู่กับที่ อยู่กับบ้านได้เลี้ยงลูกด้วย แต่ตอนมาพิมพ์บท ต้องไปพิมพ์ที่ออฟฟิศพี่เจี๊ยบ ถ่ายรูปลูกมาแปะไว้แล้วก็นั่งดูรูปลูกไปด้วยคิดถึงลูก
ช่วงเก็บเกี่ยวประสบการณ์
พอเขียน “เจ้าสาวของอานนท์” จบก็เบรกไปทำอีเว้นท์ และมีไปเป็นเซลส์เพราะเหมือนว่าเรายังไม่มีช่องทาง งานแสดงก็ยังไม่มีค่ะเพราะว่าเราเหมือนเพิ่งคลอดลูกมา แต่ว่าก็ได้เล่นเรื่อง “บ่วงดวงใจ” ของ“อาจิ๋ม มยุรฉัตร” ในตอนที่กำลังท้อง เป็นเรื่องที่สองที่ได้เล่นละครเป็นเรื่องเป็นราว เรื่องแรกคือ “ดาวเรือง” เล่นละครเรื่องที่สองยังไม่ทันจบก็ท้องซะก่อน พอท้องเสร็จก็เบรกละครไปคลอด แล้วเริ่มเขียนบท พี่จิ๋มก็ให้ทีมงานโทร.มาชวนให้ไปเล่นละครแต่เราจำเป็นต้องเลือกเราก็เลยเลือกเขียนบท แม้ว่าค่าตัวเราจะไม่ได้มาก แต่เราก็ได้ทุกตอน ถ้าเป็นนักแสดงไม่ได้ทุกตอน เราก็ต้องเลี้ยงลูกด้วย ก็เลยปฏิเสธไป หลังจากนั้นก็เลยไม่มีละครเข้ามาอีกเลย เว้นไปจนมีลูกคนที่สองเกือบสิบปี ถึงได้กลับมาเล่นละครอีกครั้ง แต่ระหว่างนั้นก็ได้เขียนบทเรื่อยๆ อยู่ค่ะ ได้ไปทำอีเว้นท์ ทำเกมโซนของ “พี่แหม่ม พิไลวรรณ” มีงานเขียนบทที่เป็นซีรี่ส์สั้นๆ ซิกคอม “รักหรรษาคาราโอเกะ, เทวดาสาธุ, เรไรลูกสาวป่า” ซึ่งเป็นการรวมตัวกับเพื่อน รวมทั้งเรื่อง “นางกรี๊ด” ก็ใช้ชื่อ “ตรียูงทอง”

งานเขียนเรื่องแรกที่ทำให้ค้นพบตัวเอง
จริงๆ ตอนนั้นก็ยังรวมตัวกับเพื่อนอยู่นะคะ เป็นช่วงที่น้ำท่วมหนักปี 2554 ซึ่งพอดีว่า “คุณแดง สุรางค์” มีดำริว่าอยากจะทำละครที่เป็นพล็อต คือเรื่อง “เส้นตายสลายโสด” ของ “พอดีคำ” เรากับเพื่อนก็ช่วยกันคิด ซึ่งเป็นเรื่องของผู้หญิงยุคนี้ เราสนุกกับมันมาก น้ำท่วมเราก็หนีน้ำไปนั่งเขียนอยู่ที่พัทยา เขียนไปถ่ายไปก็มีความสุข ไม่รู้สึกเครียดเลย เป็นเรื่องที่ทำให้เราค้นเจออะไรบางอย่างกับการเขียนบท คือเรื่องแบบนี้มันสอนกันไม่ได้ ทำให้เราเห็นทาง และมั่นใจในตัวเองมากขึ้น หลังจากนั้นก็ได้รับการพูดถึงและมีผู้จัดให้งานต่อ ก่อนหน้านั้นก็ต้องยอมรับว่างานเรามันไม่ได้เป็นที่พูดถึงไม่ค่อยเข้าตา ไม่ได้เป็นตัวเลือก แต่หลังจากนั้นก็ถูกแนะนำถูกเลือกถูกวางให้ได้งานต่อไปเรื่อยๆทั้งช่อง 7 และช่อง 3
เหมือนเป็นตัวแทนของผู้หญิง
ถ้าเป็นคาแร็กเตอร์ที่ผู้หญิงนำก็จะเป็นทางเรามากกว่า อาจจะดราม่าบ้าง โรแมนติก คอเมดี้บ้าง คือมันอาจจะเป็นประสบการณ์ส่วนตัวที่เรามอง เราเจอมา เราเองก็เจอผู้หญิงทุกประเภท เห็นมาทุกอย่าง ก็เลยได้เขียนเรื่อง “พริ้ง คนเริงเมือง” หรือแม้แต่เรื่องล่าสุดที่เขียนและพล็อตเอง “The Single Mom คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง” ก็เป็นตัวละครที่ครั้งนึงเสี้ยวนึงเราเกือบจะเป็นซิงเกิ้ลมัม เพราะเราเข้าใจเราถึงพูดได้ และเราถึงจะให้ตัวละครตัวนี้พูดอะไรคิดอะไรอย่างเข้าใจมันจริงๆ ไม่ใช่การเซตอัพหรือมโนเอง ถ้าเราเข้าใจตัวละครจริงๆ เราจะสร้างมันได้อย่างเป็นธรรมชาติเป็นความจริง เพราะว่าคนที่ดูบางคนก็จะพูดว่าฉันเคยเป็นแบบนั้น คือไปสัมผัสความจริงของทุกคน ไม่ใช่เรื่องเฟคขึ้นมา
ผลงานการเขียนที่ผ่านมา
“เส้นตายสลายโสด,วิมานมะพร้าว” ซึ่งเป็นเรื่องที่สร้างคู่จิ้น “เชียร์-ธันวา” ด้วยความกรี๊ดกร๊าดของการสร้างคู่จิ้นก็สนุกสนานในการเขียนมาก แล้วก็มี “แผนร้ายพ่ายรัก, ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหล, นางสาวทองสร้อยคุณแจ๋วหมายเลข 1, The Single Mom คุณแม่เลี้ยงเดี่ยวหัวใจฟรุ้งฟริ้ง, พริ้งคนเริงเมือง” แรงบันดาลใจในการเขียนส่วนใหญ่คือจะดูซีรี่ส์เกาหลีค่ะ ความฟินความจิ้นต้องดูเกาหลีนะ ฝรั่งก็จะเป็นอีกแบบนึง แต่เกาหลีด้วยความที่ชาติพันธุ์ใกล้กัน รสนิยมความชอบเลยไม่ต่างกัน ดูเอาอารมณ์ว่าเขาเล่ายังไงไม่ได้ไปก๊อบปี้มุขเขานะคะ เราดูแทนความรู้สึกที่เราเป็นคนดูว่าขนาดไหน เราถึงรู้สึกว่าเราถูกบิ้วท์ พอเราฟูลกับความฟินมันก็มาและจะไปกระตุ้นครีเอทีฟในหัวเรากับวัตถุดิบที่เราสะสมมาโดยอัตโนมัติเอง

ผลงานที่ประทับใจ
ชอบทุกเรื่อง แต่ที่สนุกมากเลยคือ “ก๊วนคานทองกับแก๊งพ่อปลาไหล” เพราะว่าโดยคาแร็กเตอร์ที่เซตอัพมามันไม่มีใครมาบล็อกและมันเป็นเรื่องที่ผู้จัดตามใจเรามาก ผู้กำกับก็ตามใจเรามาก นักแสดงก็ทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีมาก ทุกคนมืออาชีพ ประสบการณ์สูง ขณะที่เขียนก็ขำ ชอบ ฟินมากเราก็นึกภาพไป สนุกกับมัน แล้วก็จะดูละครที่ตัวเองเขียนทุกตอนทุกเรื่องไม่เคยพลาดดูเพื่อเช็คงานตัวเอง พอมาย้อนดู ตอนนี้ฉันเขียนอะไรเนี่ยอืดมาก เราไม่เข้าข้างตัวเองค่ะ ดูแล้วเราก็จะได้เอามาปรับกับเรื่องต่อๆไปที่เราเขียน เหมือนทำการบ้านเพื่อที่เรื่องต่อไปเราจะได้ไม่ทำ หรือบางเรื่องควรจะเพิ่ม ขยี้ๆ อีกหน่อยก็ดี บางเรื่องอาจจะไม่ประสบความสำเร็จเราก็ต้องมาหาว่าเพราะอะไร เราเล่าเข้าใจยากเหรอ ทำไม เราก็ต้องมาทำการบ้านของตัวเอง
กับอาชีพนี้ที่เลือกแล้ว
19 ปีกับการเขียนบท น่าจะเกือบ 40 เรื่องที่เขียนค่ะ ถือว่าอาชีพนักเขียนคืออาชีพของเรา นานเนอะ (หัวเราะ) ก็ควรจะหาตัวเองเจอได้แล้ว คิดว่าควรจะเป็นอาชีพเราตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้วแล้วค่ะ ไม่เคยเปลี่ยนใจเลย ถึงแม้ว่าจะยังไม่มีงานมา เพราะว่าเราก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เราก็คิดพล็อตของเราไป คุยกับเพื่อนหรือมีอะไรให้ช่วยคิดช่วยเขียนมีมาแค่ตอนสองตอนก็เขียน ขอแค่ไม่ห่างหายไปจากมัน
จอมขโมยซีนในละครหลายๆ เรื่อง
อย่างที่บอกในตอนแรกนะคะ ว่าพอเราท้องลูกคนแรก ก็เบรกไป มาเล่นอีกทีหลังจากคลอดคนที่สองได้ประมาณเดือนกว่าคือเรื่อง “เทวดาสาธุ” ก็บอกเขาว่าเล่นได้ แต่ว่าอย่าให้ไปกระโดดวิ่งอะไรแล้วกัน คืองานแสดงมันสั้นๆ ได้เงินเลย แล้วก็ไวดี เราก็ไปเล่นเพื่อคลายเครียดปล่อยของ ไปหาประสบการณ์เผื่อได้มุมมองของผู้กำกับและทีมงานมาใช้ในการทำงานของเรา นั่นคือเหตุผลในการรับละครในช่วงหลังๆ แล้วคือไปหาข้อมูลแล้วได้เงินมีที่ไหน ได้เขียนบทเรื่อง “เทวดาสาธุ” หลังจากนั้นก็ไปเล่นละครเวทีและทำให้ได้เจอกับ “พี่เติม-ชนินทร” กับ “พี่คิง-สมจริง” ที่ไปดู พี่คิงก็เลยเอาเราไปเล่น “ปฐพีเล่ห์รัก” มักได้เล่นบทอะไรที่มากันแบบกลุ่มเพื่อนเม้าท์มอยสาวออฟฟิศอะไรประมาณนี้ ก็เลยมีงานเข้ามาเรื่อยๆจนกระทั่งพี่เติมเอาไปเล่น “แรงเงา” ก็เป็นการแจ้งเกิดอีกครั้งโดยที่ไม่ได้คิดอะไรเลย คือเราก็ไปสิงพี่เติมในการทำงาน แล้วพอเล่นบทเรามันดันออกมาเยอะคนก็รู้จักเล่นจบไปแล้วเราเองก็ยังรู้สึกเฉยๆ แต่ว่าไปไหนมาไหนคนจะจำได้ก็เข้ามาทักผ่านไปสี่ปีคนก็ยังจำเราได้ หลังจากนั้นก็มีละครติดต่อเข้ามาอีกเยอะมากแต่เราก็จำเป็นต้องปฏิเสธเพราะว่าเรายึดอาชีพเขียนบทแล้วเราก็รับไม่ไหวแต่พอเป็นของพี่เติมซึ่งโทร.มาเองเราก็ไม่อยากปฏิเสธก็เลยได้ไปเล่น “สะใภ้เจ้า” เราสี่สิบกว่าแล้วแต่ก็มักจะได้รับบทเป็นสาวอยู่แต่จริงๆ ไม่ไหวนะสังขารเรา แต่ไปๆมาๆก็ต้องเล่นอีกจนได้ “แรงเงา2” ก็มากันครบทีมเลยค่ะ เป็นแก๊งขโมยซีนทีมเดิมที่ต้องมี หลังจากนี้ก็คิดว่าจะไม่รับแล้วนอกจากทีมเดิมๆ ที่เราเคยทำงานด้วย แล้วก็เป็นบทที่ไม่เยอะ

กับความสำเร็จในวันนี้
ความรู้สึกแรกคือโชคดีที่ได้ทำงานที่ชอบที่รักและสามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้ดี ไม่ได้ร่ำรวยอะไรหรอกแต่ว่าทุกคนอยู่รอดนี่คือความโชคดีนะเพราะว่าหลายคนพูดกับเราว่าทำงานมาจนป่านนี้แล้วเขายังไม่รู้เลยว่ามันคืองานที่เขารัก เขาจำเป็นต้องฝืนใจ บางคนทั้งชีวิตก็ไม่เจอซึ่งเราก็จะบอกว่าไม่มีอะไรเพอร์เฟกท์มันดูสบายจริงแต่ว่ามันก็ต้องแลกมาด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ที่ควบคุมไม่ได้เช่นความเครียดเราบอกว่าเราไม่เครียด แต่โรคกระเพาะถามหา ไมเกรนขึ้นอันนี้ก็เป็นสิ่งที่ต้องแลก แต่เราก็ต้องมีสติที่จะต้องรู้ตัวว่าเรากำลังประสบปัญหาอะไรและต้องดูแลตัวเอง อันที่สองคือถามว่าประสบความสำเร็จไหมไม่อยากใช้คำนี้อยากใช้คำว่ามันสามารถพัฒนาตัวเองจนถึงขั้นที่เรียกว่ามีมาตรฐานพอทำให้ผู้จัดไว้วางใจที่จะมอบหมายงานให้ อะไรคือการประสบความสำเร็จมันวัดยากค่ะเพราะว่างานนี้เป็นงานที่ต้องวินๆ ระหว่างคนจ้างกับเรา เจอกันครึ่งทาง ความต้องการของผู้จัดซึ่งแน่นอนว่าเขาต้องมีโจทย์ในใจความชอบส่วนตัวสิ่งที่เขาอยากเห็นหรือเงื่อนไขโปรดักชั่น สิ่งที่เราจะเอาไปขายเขาคือความครีเอทีฟนักแสดงแต่ละคนจะมีบทบาทประมาณนี้นี่คือสิ่งที่เราคิดไปให้เขา ดังนั้นเราต้องเอาโจทย์ของเขากับเรามารวมกันแล้วก็เขียนออกมาและตอบโจทย์เขาฟินเราด้วย มันต้องไปด้วยกันนี่คือกระบวนการทำงาน แล้วพอไปสู่สายตาคนดูอะไรคือตัววัดบ้าง รสนิยมคนดูเรตติ้งหรือบางเรื่องเขียนทรมานมากไม่ใช่สิ่งมี่เราชอบเลยแต่คนดูกลับชอบ เรียกว่าประสบความสำเร็จไหม ประสบความสำเร็จในด้านไหน ทุกวันนี้เรายังต้องทำการบ้าน
อยู่นะเพราะเรายังไม่รู้สึกว่าประสบความสำเร็จ
มุมมองของลูกสาวที่มีต่ออาชีพของคุณแม่
ลูกบอกว่าสงสารแม่ (หัวเราะ) สติสติแม่ คือแม่จะเบลอ เขามีความสุขนะเขาดูละครที่แม่เขียนแล้วเขาก็จะขำ แต่เราจะให้เขาดูเฉพาะเรื่องที่เขาดูได้นะคะ เป็นแนวบวกๆ เขาก็จะขำอย่างล่าสุดคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว เขาก็บอกว่าอยากกินซาลาเปากัน แล้วชอบพี่ตี๋ชอบเด็ก เขาจะถามว่าแม่คิดตรงนี้ได้ยังไง ลูกคนคนเล็กเป็นเด็กที่รู้จักใช้ภาษาในการเล่าเรื่องบางทีเราก็ตกใจนะว่าเราอายุเท่าเขาเรายังเล่นกระโดดเชือกเป่ากบไม่รู้เรื่องอะไร เขาคือรู้จักพูด แต่มันก็ยังไม่ค่อยชัดเท่าไหร่คือเขาก็ยังอยากจะประดิษฐ์หุ่นยนต์อะไรของเขาไปเรื่อยส่วนคนโตเองก็ชอบอ่านหนังสือนิยายวัยรุ่น นิยายวาย แล้วก็ลองเขียนนิยายลงในเว็บเด็กดี แต่ไม่ยอมให้แม่อ่านบอกว่าเขิน คือทั้งสองคนได้อิทธิพลจากแม่ในเรื่องการอ่าน การเขียน และการใช้ภาษาและความครีเอทีฟเหมือนกันโตขึ้นเขาจะเป็นอะไรก็แล้วแต่เขา เราเลี้ยงลูกสบายๆ เอาเขาเป็นศูนย์กลาง เขาไม่อยากเรียนอะไรเราก็ไม่ห้าม แต่เขาจะต้องรับผิดชอบหน้าที่ของเขาถึงเวลาดุก็ดุบ้านระเบิด

มุมมองเกี่ยวกับคนเขียนบท ณ วันนี้
เป็นตำแหน่งที่เป็นจุดเริ่มต้นเป็นหัวใจของเรื่องแต่มักถูกปฏิบัติแบบไม่สำคัญ คือไม่ต้องให้คนดูมาพูดถึงเราหรอกเอาแค่คนที่ทำงานด้วยกัน มันอยู่ที่ทัศนคติของคนเขียนบทเองด้วยนะว่าเห็นว่าเป็นเรื่องซีเรียสหรือเปล่า หรือการวางบทบาทของตัวเอง และด้วยอายุงาน นักเขียนบางคนถูกจับมือให้เขียนซึ่งรู้สึกว่ามันผิดหน้าที่ผิดฟังก์ชั่น เราอยากได้อิสระในทางความคิดมากกว่านี้คือคุณฟังเราก่อนแล้วก็มาเจอกันมีเหตุผลมาคุยกันว่าไม่เอาตรงนี้เพราะอะไร เราต้องการการทำงานที่จะไปด้วยกันมีใจที่เปิดกันทั้งสองฝั่ง คนเขียนบทก็ต้องฟังผู้จัดฟังโปรดิวซ์ด้วยเพราะว่าเขาก็มีเงื่อนไขที่เขารับมา เรามีหน้าที่ที่จะเอามันมาปั่นๆ เป็นงานที่พอใจทั้งสองฝ่าย
เขาว่ากันว่านักเขียนกำลังขาดแคลน
จริงค่ะเพราะว่างานที่ออกมาแล้วทำให้ผู้จัดพอใจโดยที่เขาไม่เหนื่อยมาก คือเขาก็ต้องคิดนะว่าจ้างมาแล้วทำไมต้องมาช่วยคิดอีกอะไรทำนองนี้อาจจะมีปรับแก้บ้างแต่ไม่มาก ดังนั้นคนที่จะมาทำงานตอบโจทย์ผู้จัดแบบนี้มันยังมีไม่มากก็จะเป็นเด็กที่เพิ่งมาเขียน แล้วงานมันยังไม่คอมพรีทสักเท่าไหร่สำหรับผู้จัดดังนั้นงานมันก็จะตกมาอยู่กับคนเดิมๆ ที่งานได้มาตรฐานและใช้งานได้เลย ซึ่งแต่ละคนก็สามารถรับงานได้ไม่มาก อย่างเราได้มากไม่เกินสองเรื่องด้วยเงื่อนไขต่างๆ หรือบางคนได้เรื่องเดียวเท่านั้นทีละเรื่อง มันก็เลยเกิดการรอคิวกันเลยขาดแคลน และมันจะต้องใช้เวลาในการที่จะพัฒนาคนให้งานขึ้นมาได้รับมาตรฐาน

คุณสมบัติของการเป็นนักเขียน
หนึ่งเลยคืออีโก้มีได้นะแต่มีไว้สำหรับยืนยันเหตุผลในงานของตัวเอง แต่อย่าอีโก้กับการที่จะเปิดใจรับฟังผู้จัดหรือใครๆ ต้องน้อมรับความคิดเห็น ถ้าจะเถียงหรือไม่เอาไม่ฟังเขาก็ต้องมีเหตุผลที่คุณมั่นใจด้วยนะว่ามันเป็นกลางไม่ใช่ดันทุรังไปด้วยอีโก้ของตัวเอง ต้องปล่อยวางละวางตัวตนให้เยอะๆ แล้วคุณก็จะพบโลกใหม่มุมมองใหม่ๆ มีวิธีการทำงานที่จะช่วยพัฒนาตัวเองได้ดีขึ้น
สุดท้ายอยากจะฝากผลงานด้วยนะคะ ที่กำลังเขียนอยู่ก็มีเรื่อง “สกาวเดือน” และที่กำลังจะออนแอร์คือเรื่อง “สายธารหัวใจ” ทางช่อง 28 คือเรื่อง “บัลลังก์ดาว” เป็นทีมเราที่เขียนซึ่งเรารับหน้าที่ตรวจบท นี่คือผลงานในครึ่งปีหลังนี้ที่จะได้เห็นกันค่ะ

กุหลาบสีเงิน