ร้อยดวงใจถวายความอาลัย ศิลปินดารากลุ่ม Star RETRO ตั้งมั่นสืบสานพระราชปณิธาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/298751

ร้อยดวงใจถวายความอาลัย  ศิลปินดารากลุ่ม Star RETRO ตั้งมั่นสืบสานพระราชปณิธาน

ร้อยดวงใจถวายความอาลัย ศิลปินดารากลุ่ม Star RETRO ตั้งมั่นสืบสานพระราชปณิธาน

วันอาทิตย์ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

รอง เค้ามูลคดี

“คำสอนของพระองค์ท่าน นอกจากความพอเพียงแล้ว พ่อยึดปฏิบัติเสมอมา คือ “การมีสติ” การละทิ้งความเห็นแก่ตัว และ รู้จักการให้อภัย”

สมบัติ เมทะนี

“พระองค์ท่านแนะนำเรื่องคอเสื้อเชิ้ต ถ้ามันขาดตรงคอข้างใน ก็อย่าเพิ่งไปทิ้ง ให้กลับคอซะ เอาตรงที่ดีออก แล้วเย็บใหม่ อย่าเพิ่งไปทิ้งมัน ใส่จนกว่าจะขาด แล้วถ้าขาดก็ตัดคอมันออกทำเป็นคอจีนไปเลย นี่คือที่เราฟังท่านรับสั่ง หรือว่ารองเท้าขาด ก็อย่าไปทิ้ง ต้องซ่อมมัน เปลี่ยนพื้นใหม่ นี่คือที่เราจดจำน้อมนำมาปฏิบัติตามอยู่ในเวลานี้ ส่วนเรื่องความดีเราปฏิบัติอยู่แล้ว คือเราไม่ได้ไปเหลวไหล และคุณพ่อผมท่านก็เป็นนักรบเป็นข้าราชการรถไฟ ท่านผ่านมาแล้วสามศึกได้สู้รบ ตัวผมเองก็เป็นทหารเหมือนกันนะ เพราะว่าไม่ได้เรียนร.ด.ครบ ตามกำหนด เราเล่นกีฬารักบี้ ฟุตบอล บาสเกตบอล เป็นนักกีฬาโรงเรียนก็เลยขาดการเรียนไป ได้เรียน ร.ด.แค่สองปี เลยต้องสมัครเป็นทหารม้ายานเกราะ เป็นทหารอยู่หกเดือน ก็เป็นการตอบแทนคุณแผ่นดินอีกทางนึง และทุกวันนี้เวลาไปไหนเจอคนเฒ่าคนแก่หิ้วกล้วยมาก็จะขอเหมาเลยนะ น่าสงสารคนแก่หิ้วกล้วยน้ำว้ามาหนัก ก็เป็นธรรมดาที่เราจะช่วยเหลือให้ความเมตตาคน และในความที่เราเป็นพระเอกเนี่ยก็ได้ช่วยเหลือเลี้ยงดูเด็กๆ ที่เขาขาดทุนทรัพย์มาแล้วไม่รู้เท่าไหร่ ไม่มีค่าเล่าเรียนส่งค่าเทอมกันไป ความเมตตาเป็นคุณสมบัติที่เราติดอยู่เพราะไม่ว่าจะเป็นคุณพ่อหรือว่าคุณย่าก็ดีท่านก็ต่างมีจิตเมตตาทั้งนั้นนะครับ ทั้งที่ก็ไม่ใช่คนรวยนะคนธรรมดานี่แหละ แต่ว่าก็ทำเท่าที่เราพอจะช่วยเขาได้ และอย่าลืมว่าต้องรู้จักกตัญญูกตเวทีกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์นี่เป็นสิ่งสำคัญมาก คืออย่าลืมบุญคุณคนที่เขาสร้างเรามาคนนั้นเราต้องถนอมเขารักเขาที่สุดและต้องไม่ลืม ต้องตอบแทนบุญคุณ ความกตัญญูรู้คุณเป็นธรรมอันประเสริฐที่มนุษย์ใช้อยู่”

โอ-ชัยรัตน์ เทียบเทียม

“พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างที่ดีในทุกๆ ด้านก็ว่าได้ครับ ตั้งแต่ความรัก ความกตัญญูต่อสมเด็จย่า ทำให้เราเห็นความรักอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ ความเป็นอัครศิลปินในด้านการประพันธ์เพลง ที่ทำให้คนทั้งโลกได้รู้ถึงพระปรีชาสามารถของพระองค์ ทุกบทเพลงที่ได้ฟัง ทำให้เรามีความสุขซาบซึ้งทุกครั้ง ไม่แพ้นักประพันธ์เอกของโลกท่านใดเลย และที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ทรงสอนให้เรารู้จักคำว่า “เศรษฐกิจพอเพียง” ให้คนไทยช่วยเหลือตัวเอง เป็นแบบอย่างให้เราปฏิบัติตาม คำสอนทุกๆคำ เหมือนพ่อสอนลูก ด้วยความรักความเป็นห่วง ประชาชนอย่างเราควรจะต้องปฏิบัติตาม เพื่อแสดงออกถึงความรักความภักดีที่มีต่อพระองค์ ด้วยหัวใจของพวกเราทุกคน”

เอ๋-กษมา และ ดี้-ปัทมา

“พระองค์ท่านทรงเป็นต้นแบบของการทำความดี โดยไม่ต้องให้ใครเห็น ไม่ต้องให้ใครรู้ คือเรื่องของ “การปิดทองหลังพระ” ถึงไม่มีใครรู้ก็ไม่เป็นไร แต่เราก็ดีใจแล้ว ก็ภูมิใจที่ได้ทำความดี” เอ๋-กษมา กล่าว ด้าน ดี้-ปัทมา เผยว่า “ดี้ยึดในหลวงเป็นแบบอย่างในเรื่องของ “ความกตัญญู” เพราะท่านมีความกตัญญูกับพระราชชนนี หรือสมเด็จย่า อย่างมาก สละเวลาที่จะต้องกลับไปดูแลสมเด็จย่า แม้ว่าท่านจะมีงานหนักก็ตาม ที่ผ่านมาดี้ก็ดูแลแม่ และดี้ก็เชื่อว่าสิ่งนี้จะสืบเนื่องไปถึงลูกที่จะต้องมาดูแลเราต่อ ตกทอดกันไปค่ะ”

หน่อย-ณัฐนี สิทธิสมาน

“ทุกสิ่งที่ท่านตรัส ที่ท่านทำ ล้วนมีประโยชน์ต่อการดำเนินชีวิตแทบทั้งสิ้นค่ะ เราสามารถหยิบจับนำมาใช้ได้ทุกเรื่อง อย่างเป็นต้นว่า การปลูกผัก ดิฉันชอบรับประทานโหระพามาก พอซื้อมาปุ๊บ เอ๊ะ..เรามีกระป๋อง เราก็ปักก้านที่เหลือไว้ เพราะว่าซื้อทีไรทานไม่หมด เราก็สามารถเก็บไว้ทานต่อไปได้ หรืออย่างเรื่องบริหารเวลา กับการบริหารเงิน เป็นไปตามระเบียบวินัยของเราที่ควรจะเป็น รู้จักบริหารจัดการให้พอดี เรียกว่า “ความพอเพียง” สำหรับดิฉัน มาเป็นอันดับหนึ่งเลยค่ะ พอเพียงทั้งในเรื่องของการดำเนินชีวิต การคิด การอยู่อย่างเรื่องเงิน ตอนนี้ยังใส่กระปุกอยู่เลยค่ะ

สมมุติว่าเรามีรายได้วันหนึ่ง 500 บาท สิ่งนี้ไม่ได้ยากสำหรับการเก็บเงินของตนเองเลยค่ะ เราก็แบ่งเก็บแล้ว ค่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟ ดูว่าเรามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง ถ้าเมื่อวานเหลือ 100 วันนี้เราก็มี 600 บาท แต่ถ้าเราพอเราก็เก็บ 100 นั้นไว้ต่อ แต่ถ้าเราไม่พอ เราก็นำก้อนนั้นมาใช้ได้ โดยไม่ต้องไปกู้หนี้ยืมสินใคร โดยส่วนตัวจะทำอย่างนั้นตลอดมาค่ะ และเป็นคนที่จดบันทึกทุกอย่าง บางอย่างของลดราคา แต่เราไม่ได้ใช้ประจำ ก็ไม่ต้องซื้อ อย่างชุดดำ ชุดไทยจิตรลดา ก็มีอยู่ชุดเดียว จะเรียกว่าเป็น ชุดใหญ่ ของตนเองค่ะ คือซื้อมานานมากแล้ว และก็ใช้มาหลายงาน ไม่ต้องซื้อหาเปลี่ยนใหม่ทุกครั้งที่มีงานค่ะ เราดูตามความเหมาะสม

พระองค์ท่านทรงงานหนักมากนะคะ ไหนจะงานพิธีการ งานส่วนตัว ครอบครัว งานเพื่อราษฎร ท่านน่าจะเหนื่อยกว่าเราเยอะนะคะ แต่ท่านทรงใช้เวลาคุ้มค่ามากจริงๆ ท่านยังมีเวลาให้กับสมเด็จย่า มีเวลาให้กับครอบครัว ตรงนี้ทรงเป็นต้นแบบของ “การแบ่งเวลาให้ถูก” อย่างตนเองเวลาไปเล่นละคร เราก็สนใจคนที่ทำงานด้วยกัน กลับมาบ้าน ก็ให้เวลาคนในครอบครัว ซึ่งนี้ก็ได้ส่งต่อให้กับลูกหลานด้วยค่ะ คำที่พูดบ่อยๆ คือ “พระองค์ท่านทรงเหนื่อยกว่าเราอีกนะ” ให้มองท่านเป็นแบบอย่าง ถ้าได้เห็นตัวอย่าง ก็อาจจะมีแรงบันดาลใจได้ สำหรับบางคนนะคะ ได้เห็น ได้รู้ และเราเองก็ต้องประพฤติปฏิบัติให้เขาเห็นด้วย เหมือนที่พระองค์ท่านทรงลงมือทำให้ดู ไม่ใช่แค่ตรัสสอนเท่านั้นค่ะ”

บุ๋ม-รัญญา ศิยานนท์

“สิ่งหนึ่งที่จะได้เห็นได้เสมอจากคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ก็คือ “การทำความดีนั้นทำยาก แต่ต้องทำ เพราะว่าความชั่วที่ทำได้ง่าย จะเข้ามาแทนที่”เวลาที่ได้อ่าน ได้เห็น หรือนึกขึ้นมาทุกครั้ง จะรู้สึกว่า จริงมากที่สุด กับสิ่งที่พระองค์ท่านสอน เพราะตัวเราเอง เรามีทั้งสิ่งที่ดีและสิ่งที่ไม่ดี ไม่ว่าจะเป็นความคิด การกระทำ คำพูด คือถ้าเราชินกับการทำอะไรบ่อยๆ เราก็จะเตือนตัวเองได้บ่อยๆ ถ้าเราทำดีเป็นประจำ กับทั้งตนเองและผู้อื่น เราก็จะรู้สึกว่าสิ่งนั้นต้องทำตลอดเวลา เพราะเมื่อไหร่ก็ตามที่เราหยุดทำความดี สิ่งที่ไม่ดีก็จะเข้ามาง่ายมาก และเมื่อไหร่ก็ตามที่เราเริ่มต้นที่จะละเลยการทำความดี ก็จะทำให้เรากลายเป็นคนที่ทำความไม่ดี ความแย่ ได้ง่ายเข้าไปอีก ทำให้เรานึกถึงการทำความดีได้น้อยลงเรื่อยๆ ทุกวัน

สิ่งนี้บุ๋มทำมาตลอดค่ะ และไม่ว่าวันนี้จะอยู่ตรงไหนของประเทศหรือของแผ่นดินนี้ ก็จะสนองคำสอนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ตลอดไป และตลอดชีวิตค่ะ”

ต่อง-สาวิตรี สามิภักดิ์

“ในฐานะที่เป็นคนไทย ถ้าถามว่าจะปฏิบัติตาม หรือว่าเดินตามรอยพ่ออย่างไร ก็คงบอกว่าข้อแรกเลยคือ ใช้ชีวิตอย่างพอเพียงค่ะ พระองค์ท่านเคยบอกว่า พอเพียงของแต่ละคนนั้น ไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากัน เราก็ต้องดูที่ตัวเรา พอเพียงของเราต้องไม่เดือดร้อนทั้งตนเอง และผู้อื่น ใช้จ่ายให้พอเพียงกับสิ่งที่เราหามา อย่าทำอะไรเกินตัว สิ่งนี้คือข้อแรกที่ปฏิบัติมาโดยตลอดค่ะ

และในฐานะนักแสดง เคยได้ยินที่พระองค์ท่านตรัสว่า อาชีพของพวกเราคือการทำให้คนอื่นมีความสุข นั่นก็คือการที่เราได้ทำความดี และในฐานะประชาชนคนไทย ก็ยังมีหน้าที่อย่างอื่นอีก ถ้าเราสามารถทำดี ซึ่งการทำดีมีหลายอย่างค่ะ การเป็นผู้ให้ บางทีเราอาจจะให้ได้ไม่เหมือนคนอื่น เราให้ความสุขคนอื่น ในฐานะนักแสดง ถ้าเกิดเรามีเหลือเราก็แบ่งปัน ในฐานะที่เราพอจะแบ่งปันใครได้ ให้ความสุข ให้กำลังใจ และให้อะไรได้อีกหลายๆ อย่าง ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงิน

ปฏิบัติตัวให้เป็นประโยชน์ค่ะ คือเราอาจจะสามารถทำอะไรหลายๆ อย่างได้ การเป็นคนดี เป็นสิ่งที่หลายคนทำอยู่แล้วค่ะ แต่การเดินตามรอยพ่อ ในวันที่พระองค์ท่านไม่อยู่แล้ว คงต้องทำให้มากยิ่งขึ้น ส่วนตัวต่องนั้น ได้ปวารณาตัวเองไว้เลยว่า นับแต่นี้เป็นต้นไป ถ้าเกิดใครต้องการความช่วยเหลือ เท่าที่เรามีศักยภาพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการแสดง งานพิธีกร งานกุศล ขอให้บอก ขอแค่บอกล่วงหน้า 1 เดือน ทำให้ได้หมดเลยค่ะ อันนี้เป็นส่วนที่ความสามารถของเรา สามารถทำได้ และถ้าเกิดใครต้องการให้ช่วย แม้นจะเป็นสิ่งที่ไม่ถนัด ต่องเชื่อเสมอค่ะว่า เราฝึกฝน แล้วเราก็จะทำได้

พ่อบอกให้เป็นคนดี พ่อบอกให้คนไทยรักกันพ่อบอกให้คนไทยรู้จักให้อภัย สิ่งเรานี้คงจะเป็นคำสอนที่ยึดมั่นถือมั่น และจะทำตามตลอดไปค่ะ

เราจะระลึกได้อยู่เสมอ เมื่อเหตุการณ์เฉพาะหน้าเกิดขึ้น เราก็จะนึกถึงพ่อ ว่าพ่อเคยสอนให้เราทำแบบนี้เราก็ทำตาม พ่อทำไว้เยอะมากเหลือเกินค่ะ ก็จะพยายามปฏิบัติตามสิ่งที่พ่อสอน อาจจะไม่ทั้งหมด แต่ขอยืนยันเลยว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุด ในฐานะเป็นลูกของพ่อ เป็นคนไทย เป็นข้ารับใช้ของแผ่นดินค่ะ”

ไก่-สุปราณี เจริญผล

“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเป็นต้นแบบในหลายๆ ด้าน ให้กับประชาชนชาวไทยค่ะ ส่วนของไก่เองได้ยึดพระองค์ท่านเป็นต้นแบบในเรื่องของ “ความพอเพียง” คือความพอมีพอดี ของตัวเรา จะทำอะไรก็ต้องคิดก่อนว่าตัวเรา และคนรอบข้างเรา จะเดือดร้อนหรือเปล่า ไก่ว่าเป็นวิธีคิดแบบสายกลาง ที่จะนำมาใช้ในชีวิตได้จริงๆ แบบยั่งยืนและมีความสุขค่ะ”

โอ๋-ญดา โชติชูตระกูล

“พระองค์ท่านทรงลงมือทำทุกสิ่ง ด้วยมุ่งหวังให้ประชาชนบนพื้นแผ่นดินไทยมีความผาสุก โดยไม่หวังผลตอบแทน สิ่งนี้จึงส่งต่อให้กับคนไทยทุกๆ คนได้รู้จัก “ความมีน้ำใจ” เรื่องของการให้ทาน การบริจาค โอ๋เชื่อว่าคนไทย 70 กว่าล้านคน ได้สิ่งนี้จากพ่อหลวงแน่นอน เพราะไม่ว่าจะเกิดเหตุภัยพิบัติ ภัยธรรมชาติใดๆ ก็ตาม ทุกคนจะมีน้ำใจหลั่งไหลมาช่วยผู้ที่เดือดร้อน โดยที่ไม่หวังสิ่งตอบแทน อย่างน้ำท่วม บางคนเข้าไปช่วย ทั้งๆ ที่สุดท้ายรถตนเองก็โดนน้ำท่วมด้วย นั่นคือสิ่งที่ทุกคนได้มาจากพ่อหลวงของเราค่ะ มีพ่อเป็นแบบอย่างให้กับเรา ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกๆ คนได้เห็นตั้งแต่เด็ก อย่างโอ๋ก็ตั้งแต่จำความได้ เห็นว่าในหลวงทรงงานหนักมากจริงๆ

อีกเรื่องหนึ่งคือ “การออม” ซึ่งสมเด็จย่าทรงให้ในหลวงหยอดกระปุก เพื่อนำเงินในกระปุกนี้ไปช่วยเหลือคนที่เดือดร้อน คนที่ยากจน ซึ่งช่วยฝึกในเรื่องของความประหยัด การเก็บออม โดยคุณพ่อคุณแม่โอ๋เอง ก็ปลูกฝังโอ๋มาตั้งแต่เด็กๆ เช่นกันค่ะ คือถ้าอยากจะได้อะไร ก็ต้องหยอดกระปุกเก็บเอง ต้องทำงานหาเงินซื้อเอง จำได้ว่า มีช่วงหนึ่งที่คุณแม่โอ๋ปลูกฝัง ให้เลี้ยงนกกระทา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับเด็กประมาณ ป. 3 ในตอนนั้น ที่จะต้องเลี้ยงนกกะทาหลายร้อยตัว ต้องดูแลเขา เพราเขาจะออกไข่ให้เราในทุกๆ วัน หลังจากนั้นก็จะนำไข่ไปขาย พอขายเสร็จได้เงินมา เราก็ต้องมาจดว่าวันนี้เราได้กำไรจากการขายไข่เท่าไหร่ เพราะนอกจากให้อาหารแล้ว เรายังต้องมียาบำรุงให้ไข่ออกมาสวย และต้องระวังในเรื่องของหนู หรือสัตว์อื่นที่จะมากินนกกระทาด้วย เงินตรงนี้แม่ก็จะสอนว่าส่วนนี้เอาไปจ่ายค่าเรียนพิเศษนะ อีกส่วนเดี๋ยวเราเอาไปทำบุญกัน สิ่งนี้จึงเป็นสิ่งที่ถูกปลูกฝังมาโดยตลอดค่ะ ถึงวันนี้ทำงานได้เงินมา ส่วนหนึ่งก็จะแบ่งไว้เก็บออมค่ะ เผื่อไว้ในวันข้างหน้า อีกส่วนคือเราเอาไว้ใช้จ่ายในสิ่งที่เราอยากจะได้อีกส่วนคือนำไปบริจาค ซึ่งอาจจะไปวัด หรือไปให้ผู้ที่เดือดร้อนแล้วสิ่งๆ นี้ก็ทำให้โอ๋ ได้ส่งต่อถึงลูกตัวเองด้วย ทำให้เขากลายเป็นคนที่รักการออมมาก รักที่จะได้หยอดกระปุกได้ช่วยเหลือคน เป็นเด็กที่มีน้ำใจ ซึ้งโอ๋เชื่อว่าสิ่งเหล่านี้คนไทยล้วนได้ ในหลวง รัชกาลที่ 9 เป็นต้นแบบค่ะ”

เอ๋-พรรณษร ปฐมาภินันท์

“..ผู้มีความจริงใจจะทำการสิ่งใดก็มักสำเร็จได้โดยราบรื่น ..ความจริงใจต่อผู้อื่นเป็นคุณธรรมสำคัญมาก สำหรับผู้ที่ต้องการความสำเร็จและความเจริญ.. (บางช่วงจากคำสอนของพ่อหลวงรัชกาลที่๙) เอ๋เชื่อแบบนี้มาตลอดค่ะ ว่าการที่เราทำอะไรด้วยความจริงใจ ไม่ว่าจะคิด จะพูด จะทำ โดยที่เราจริงใจกับทุกสิ่ง ซื่อสัตย์ในการกระทำทุกอย่าง คนที่เราพบเจอหรืออยู่รอบๆ เราก็จะเจอแต่คนในแบบที่จริงใจคล้ายๆ กัน คนที่ไม่มีความจริงใจก็จะเจอบ้าง แต่สุดท้ายกฎของแรงดึงดูดก็จะพาแต่คนดีคนจริงใจเข้ามามากกว่า และคนที่ไม่มีความจริงใจก็จะค่อยๆ หายไปค่ะ แม้แต่การทำงานหรือขอให้ใครช่วยเหลือ หากเรามีความจริงใจที่ออกมาจากใจจริงๆ มันสัมผัสได้ค่ะ เพราะมันเป็นสิ่งออกมาจากข้างใน เวลาเราทำอะไรสิ่งที่เราได้รับก็จะมีแต่คนที่ดีๆ ที่มีความจริงใจสนับสนุนส่งเสริมกันและกัน……นี่คือสิ่งที่เอ๋ยึดมั่นและทำมาตลอดค่ะ นอกเหนือจากนี้ทุกคำสอนของพ่อ ล้วนแต่เป็นเรื่องที่จริงและดีมากๆเลยจะพยายามจดจำและทำให้ได้ในการใช้ชีวิตต่อไปค่ะ”

เล็ก-วิวัฒน์ ผสมทรัพย์

“พระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงมีต่อพสกนิกรไทยนั้น มากมายเป็นล้นพ้นอันหาที่สุดมิได้ ผมเองก็ได้ยึดพระองค์ท่านเป็นต้นแบบในเรื่องของ “เศรษฐกิจพอเพียง” เช่นกันครับ ยกตัวอย่างเช่น ผมจะซื้ออะไร ผมต้องมีเงินทุนสำรองเกินราคาของชิ้นนั้นครับ”

แมน-วทัญญู มุ่งหมาย

“พระองค์เป็นต้นแบบของการทำดี หลายอย่างครับ ผมเองเกิดวันที่ 9 ผมเลยน้อมนำ ความดี ตามพระบรมราโชวาททั้ง 9 นั้น คือ 9 คำสอนของพ่อหลวง น้อมนำเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต 1.ความเพียร 2.ความพอดี3.ความรู้ตน 4.คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ 5.อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ 6.พูดจริง ทำจริง 7.หนังสือเป็นออมสิน 8.ความซื่อสัตย์ 9.การชนะใจตน นี่แหละ คือสิ่งที่พึงปฏิบัติให้ได้ เพื่อทำให้ชีวิตเรามั่นคง/มั่นใจ/และประสบความสำเร็จยึดแนวทางตามพระบรมราโชวาทพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร”

กรุง ศรีวิไล

“ทุกวันนี้คนก็น้อมนำมาปฏิบัติกันเยอะมาก อย่างเรื่องที่ว่าใช้เสื้อผ้าปะแล้วปะอีก ชุนแล้วชุนอีก มีเยอะมาก เราเองก็เป็นคนที่ไม่กินเหล้าไม่สำมะเลเทเมา แต่ว่าตอนวัยรุ่นก็ไม่ว่ากันนะ แต่ทุกวันนี้ก็อยู่แบบเรียกว่าพอเพียงก็ได้คือไม่หรูหรา กินข้าวราดแกงได้ เพราะนิสัยเราเป็นแบบนี้มาตั้งนานแล้ว ตอนเป็น สส. นั่งโต๊ะหลุยส์ในรัฐสภา มีอาหารจากร้านอาหารแพงๆ ส่งให้สส. รัฐมนตรีทานในห้องอาหารรัฐสภา เราก็ลงไปกินข้าวราดแกงที่ร้านใต้ถุนสภา จานนึง 30-40 บาทก็พอ เพราะเราคิดว่าวันนึงทุกคนก็ต้องมากินข้าวราดแกงอยู่ดี ไม่ต้องไปหรูหราอะไร เหมาะแล้วที่เขาสอนนักการเมืองแบบนี้ เป็นจริงตามที่ใครพูด ผมไม่ได้เข้าข้าง คสช.หรือว่าใครนะแต่ผมว่าเขาทำดี เตือนสติคน

พอเห็นพ่อไหว้ในหลวงเขาก็ไหว้ตาม โดยที่เราไม่ต้องบอก อาจจะบอกสอนเขาในตอนที่เขาเด็กๆ แต่ว่าพอโตมามันก็ติดเป็นนิสัยของเขาไปแล้วครับ เขาจะไม่กล้าเอาเงินไปโยนเล่นไปวางไม่เป็นที่เป็นทางเด็ดขาด แล้วทานข้าวถ้าไม่หมดจานก็จะว่าเขา ข้าวสุกนะ แม้กระทั่งคนงานพวกแม่บ้านต่างๆ ที่เวลาเขาตักข้าวให้เราแล้วข้าวที่ติดทัพพีแล้วเขาก็ไป
วางไว้ข้าวสิบยี่สิบเม็ดที่ติดอยู่รวมแล้วเป็นครึ่งกระป๋อง เราก็เรียกเขามาดูเลยว่าถ้าคนที่เขาไม่มีกินเขายังลำบากมากนะคุณทำกันแบบนี้ได้ยังไง ถ้าวันหลังคุณไม่ช่วยผมประหยัดผมก็จะไม่ให้ข้าวคุณกิน แล้วไฟฟ้า น้ำอะไรต่างๆ ไม่ใช้ก็ต้องปิดดับให้หมด ผมจะสอนอย่างนี้”

ดวงใจ หทัยกาญจน์

“โดยส่วนตัวแล้ว ดำเนินชีวิตตามคำพ่อสอนโดยตลอดค่ะ “มีเมตตาไมตรีดีต่อกัน” คือเราห้ามชีวิตไม่ให้เกิดปัญหา เกิดความทุกข์ไม่ได้ แต่ถ้าในใจของเรามีเมตตาไมตรีและดีต่อกันอย่างจริงใจ เชื่อว่าปัญหาหนักก็จะกลายเป็นเล็ก ปัญหาเล็กก็จะไม่เกิด เพราะว่าเรามีใจที่เมตตาต่อกันช่วยอะไรได้ก็ช่วย ไม่เคยกลัวที่จะเกิดมาเป็นผู้ให้ ให้แล้วก็มีใจที่เป็นสุข

ตั้งแต่ดูข่าว สมัยที่ลูกเล็กๆ เราก็จะให้เขาดูข่าวพระราชสำนัก เพราะว่าเราเป็นคนเลี้ยงลูกเองแล้วก็อยู่กับลูกตลอดเวลา เห็นข่าวก็จะบอกกับลูกว่าในหลวงทรงทำอย่างนั้นอย่างนี้นะ และจะสอนให้เขาขอบคุณข้าวทุกจาน ข้าวทุกเม็ด ตามที่ในหลวงทรงสอน และทุกวันนี้ตัวเราเองเวลาตื่นเช้ามาหรือก่อนนอนก็จะสวด พุทธังเศรษฐี ธัมมังมั่งมี สังฆังเป็นสุข แล้วก็จะขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ ขอบคุณครูบาอาจารย์และผู้มีพระคุณ แต่เดี๋ยวนี้ต้องเพิ่มอีกครั้งนึงแล้ว คือกราบส่งเสด็จพระเจ้าอยู่หัว สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ปกติจะสวด 5 ครั้งตอนนี้เพิ่มเป็น ขอให้ท่านคุ้มครองประเทศชาติของเรา”

อัษฎาวุธ เหลืองสุนทร

“สิ่งที่ยึดพระองค์ท่านเป็นต้นแบบนั้น มีหลายอย่างมากเลยนะครับ ทั้งเรื่องของความพากเพียร ซึ่งจำขึ้นใจเลยจากการที่เราประสบจากตัวเองในการแสดงพระมหาชนก และในความพากเพียรเราต้องมีสติปัญญาด้วย เจออุปสรรคต้องไม่ย่อท้อและสุขภาพพลานามัยต้องแข็งแรงสมบูรณ์ ต่อให้คุณฉลาดมากขยันมากแต่ว่าคุณขี้โรคไม่มีเรี่ยวไม่มีแรงต่อให้คุณมีความขยันพากเพียร ดังนั้น 3 อย่างต้องรวมกัน คือฉลาดมีสติปัญญามีความรู้ ต้องมีร่างกายที่พร้อมด้วย แล้วพอเรามีความพากเพียรมันก็จะเกิดผล นี่แหละคือสิ่งที่พระมหาชนกในบทพระราชนิพนธ์ซ่อนไว้ และมีอีกพาร์ทหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องของต้นมะม่วง 2 ต้น ที่ต้นนึงมีผลกับไม่มีผลในอันเดิมก็คือประชาชนไปรุมทึ้งต้นที่ผลจนพังเสียหายและพระมหาชนกเวอร์ชั่นเก่าก็ละไปนิพพานซะ ปล่อยให้ประชาชนลำบาก แต่พระมหาชนกเวอร์ชั่นของพระองค์ก็คือกลับมาดูแลประชาชนให้ความรู้ ต้นที่มีผลจะดูแลยังไงให้มีผลเก็บกินได้ยาวนาน ก็เหมือนกับประเทศไทยที่มีทรัพยากรเยอะแต่ใช้อย่างเดียวไม่รู้จักรักษา ส่วนอีกต้นที่ไม่มีผลก็หาวิธีซึ่งพระองค์ใช้วิชาการมาสอน มี 9 วิธีที่จะทำให้ต้นไม้สามารถออกผล คือตัดกิ่งทาบกิ่งต่อตากับต้นที่มีผล ซึ่งมันเทียบกับอาชีพอื่นๆได้ ไม่ใช่เฉพาะเกษตรกร มันไม่ใช่เรื่องของปาฏิหาริย์แต่เป็นเรื่องของวิชาการวิทยาศาสตร์ และอีกหนึ่งอย่างคือเรื่องการทำความดี พระองค์บอกว่าการทำความดีมันยาก แต่ก็ต้องทำไม่งั้นสังคมก็จะมีแต่คนไม่ดี การทำเลวมันทำง่าย อยากทำทำปุ๊บเลวเลย แต่ว่าการทำความดีกว่าคนอื่นจะเห็นหรือว่ากว่ามันจะแสดงผลออกมามันต้องใช้เวลา บางความดีต้องทำเป็นปีๆ กว่าจะเห็น แต่ถ้าคุณไม่ทำก็จะไม่เห็นผลสักที เพราะฉะนั้นพระองค์จึงบอกว่าเริ่มต้นทำความดีเสียตั้งแต่วันนี้”

Leave a comment