Star Retro : โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป มุ่งทำงานที่รัก ด้วยจิตวิญญาณของศิลปิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/entertain/303946

Star Retro : โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป มุ่งทำงานที่รัก ด้วยจิตวิญญาณของศิลปิน

Star Retro : โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป มุ่งทำงานที่รัก ด้วยจิตวิญญาณของศิลปิน

วันเสาร์ ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560, 14.54 น.

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งศิลปินที่แฟนเพลงคุ้นเสียงกันเป็นอย่างดี สำหรับ โอ้-เสกสรรค์ ปานประทีป เจ้าของเพลงดัง “ใจให้ไป” ที่ไม่ว่าจะยุคสมัยไหนก็ต้องรู้จัก และร้องตามกันได้ ล่าสุด โอ้-เสกสรรค์ จับไมค์อีกครั้งในรูปแบบ ลุยเอง ทำเพลงอิสระไม่มีค่ายคลอดเพลงใหม่ด้วยความทุ่มเทในทุกๆ กระบวนการอย่างจริงจังและตั้งใจ ที่สำคัญเนื้อหาของเพลงถ่ายทอดจากประสบการณ์ตรงของเขาอย่างสุดซึ้ง

งานหลักในปัจจุบัน

ตอนนี้ออกมาทำค่ายเพลงตัวเองประมาณ 3-4 ปีแล้วครับ คือเป็นช่วงเวลาที่ทำงานเพลงอะไรก็ลำบากแล้วนะครับ ไม่ว่าจะค่ายใหญ่ค่ายเล็ก ผมเลยคิดว่าเราขอออกมาลุยทำเอง แกรมมี่ก็เป็นบ้านเกิด ค่ายที่มีพระคุณ ทุกวันนี้ก็ขอบคุณเขาเสมอ และผมมองว่าวงการเพลงก็ทรงตัว ทำไปแล้วก็เท่าตัวนะ ก็ออกมาทำเองซะเลย สิ่งที่จะเสียก็เรื่องที่เราต้องเหนื่อยมากขึ้นในการโปรโมทและทำเองทุกอย่าง แต่ก็ไม่เป็นไรอยู่กับสิ่งที่เรารัก

โอกาสมีเสมอ ถ้าไม่หยุดคิดหยุดทำ

ผมรู้สึกว่าสมัยนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อน โอกาสประสบความสำเร็จมีได้ทุกคน ไม่ว่าจะอยู่ค่ายเล็กค่ายใหญ่ซึ่งคุณต้องทำงานหนักขึ้น อย่างมีบางค่ายที่ผมรู้เขาปล่อยศิลปินใหม่ ปล่อยเพลงใหม่ทุกอาทิตย์ ไม่รู้ล่ะบางเพลงอาจจะไม่ประสบความสำเร็จ แต่การปล่อยเพลงใหม่ทุกอาทิตย์ เดือนหนึ่งก็ 4 เพลง ปีหนึ่งก็ 40-50กว่าเพลง ซึ่งมีโอกาสที่เพลงจะเกิดได้ แล้วถ้าเกิดดังตูมขึ้นมาเพลงหนึ่ง เพลงนั้นอาจจะมียอดวิวเป็น 10 ล้าน 100 ล้าน รายได้ก็เข้าค่าย รวมทั้งโฆษณายอดวิวที่สูงทุกอย่างเป็นไปได้หมด แต่ถ้าคุณไม่ทำเลย ไม่ขยัน มองว่าเฮ้ย…ขาลง อย่าไปทำเลยดีกว่า มัวแต่ท้อใจ ก็จะได้เท่านั้น ฉะนั้นก็ต้องทำ ก้มหน้าก้มตาทำไปเถอะ ทำออกไปให้ดีที่สุด

งานเพลงคือชีวิตและจิตใจ

ใช่เลย ถูกต้องที่สุด เราเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ คนที่เป็นศิลปินจริงๆ คือการทำสิ่งนั้นด้วยจิตวิญญาณ แล้วก็อยากที่จะทำและผลิตงานออกไปเรื่อยๆ โดยไม่คิด สำคัญว่าจะต้องมีอะไรตอบแทนกลับมา เช่นเดียวกันกับคนวาดรูป เราจะเห็นว่าเดี๋ยวนี้นักวาดเยอะมาก บางทีเขาก็นั่งเขียนรูปวาดทุกวัน เขาก็ไม่รู้หรอกว่ารูปนี้ในช่วงชีวิตเขาจะขายออกหรือเปล่า ไม่รู้เลย บางรูปคนวาดตายไปแล้วภาพนั้นก็ยังขายได้ก็มี แล้วทำไมเขาถึงทำล่ะ ก็เพราะว่านี่คือจิตวิญญาณของเขา มันคือสิ่งที่เขาจะต้องทำต่อไป เพราะเขารู้ว่าเขาเกิดมาเพื่อสิ่งนี้ เขาเรียนรู้ฝึกฝนมาเพื่อสิ่งนี้ ทำไมล่ะในเมื่อมันไม่มีคนซื้อภาพเขา หรือไม่มีคนฟังเพลง แล้วคุณจะต้องทิ้งกีตาร์ ทิ้งพู่กัน แล้วไปขายก๋วยเตี๋ยวเหรอ คุณใจง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ถ้าอย่างนั้นก็แปลว่าคุณไม่ได้รักสิ่งนั้นจริงๆ แล้วล่ะ คุณอาจจะต้องการแค่เงินเพื่อประทังชีวิตเท่านั้นพอ มองว่าเป็นสิ่งที่เลี้ยงชีพเฉยๆ ก็โอเคไม่ใช่ ก็ไม่เป็นไร ก็ตอบโจทย์ของเขาไป และประเด็นคือเราทำงานให้ดีเถอะครับ งานดีจะอยู่ได้ยาวนานอยู่ที่ความตั้งใจจริงๆ ไม่ว่าจะงานเพลงป๊อปเพลงตลาด เพลงสไตล์ไหนก็แล้วแต่ มันมีคุณค่าในตัวของมันเอง ถ้าเราตั้งใจทำออกมาให้ดี

ไม่เคยท้อเวลาทำเพลง

ไม่เคยท้อเลย เพราะอยู่กับมันมาตลอดชีวิต แต่ก็มีบ้างที่มีความรู้สึก แต่ก็พยายามมองให้ออกว่าเราอยู่ตรงนี้เพราะอะไร เราอย่าไปเคยตัวกับระบบเก่าๆ อย่างเมื่อก่อนศิลปินเก่าจะเคยตัวมากว่า ค่ายจะเป็นคนทำให้ ค่ายจะต้องดูแลทุกอย่าง มีรถตู้มารับมาส่งไปโปรโมท เดี๋ยวค่ายจะจัดแจงให้ทุกอย่างเลย คุณมีหน้าที่แค่ร้องเพลงเป็นศิลปินเท่านั้นพอ สมัยนี้คุณเป็นอย่างนั้นไม่ได้แล้ว คุณคิดว่าคุณเซ็นสัญญากับค่ายแล้วทุกอย่างจบไม่ใช่ คุณจะต้องช่วยตัวเองด้วย คือต้องมีความเป็นศิลปินในตัวคุณเองด้วย ไม่ต้องสร้างภาพ ทำให้คนดูเห็นสิว่าคุณมีดีจริงๆ นะ ไม่ใช่ค่ายเป็นคนสร้างให้คุณ แฟนคลับแฟนเพลงจะชอบคุณที่อะไร ฉะนั้นสิ่งที่คุณต้องเป็นก็คือว่า คุณต้องเป็นตัวของตัวเอง คุณทำงานคุณมีค่ายหรือไม่มีค่ายคุณก็ต้องทำงานหนัก ต้องมีวิธีที่จะพรีเซ็นต์ตัวเองออกไป ครีเอทตัวเองให้คนเขาเข้าหาเราได้มากขึ้น รู้จักเรามากขึ้น แล้วยิ่งสมัยนี้ศิลปินเยอะมากเลยนะ เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องไปแข็งกับคนอีกมากมาย ผมถึงบอกว่าทุกวันนี้เป็นศิลปินไม่ได้เหมือนสมัยก่อนที่คุณเซ็นสัญญากับค่ายแล้วค่ายจัดการให้ทุกอย่าง ทุกวันนี้คุณต้องช่วยตัวเองมากๆ (เน้นเสียง) ทางที่จะประสบความสำเร็จมีอยู่แล้ว เพียงแค่ต้องเหนื่อยหนักหน่อยที่ต้องไปแข่งกับศิลปินอีกมากมายแล้วก็อีกหลายๆ ที่ชัดเจน ฝีมือจริงๆ ของคุณถึงจะเป็นตัวจริง

ยิ่งแปลกยิ่งดี

ผมคิดถึงเรื่องนี้มานานแล้วนะ เพราะมีคนบอกว่าต่อไปเดี๋ยววงการเพลงจะกลายเป็นยุคทองของกลุ่มเล็ก ซึ่งพวกเขามีพลังมาก ยิ่งยุคนี้เป็นยุคของโซเชียล ยุคของเด็กรุ่นใหม่ เจนเนอเรชั่นใหม่ๆ เขาอยากจะดูอะไรเขาจะเลือกดูเองไม่ต้องมาบอก หรืออย่าไปยัดเหยียดว่าจะต้องดูอันนี้นะ ฉะนั้นเขาก็จะเลือก และไปหาอะไรที่ตรงกับความชอบจริตของเขา พอเขาฟังแล้วชอบเจองานดี ถูกใจ เขาก็จะไปบอกต่อๆ กันในโลกโซเชียลจากกลุ่มเล็กกลายเป็นกลุ่มใหญ่ได้ จริงๆ ก็แอบอิจฉาเหมือนกันนะว่าสมัยนั้นเราไม่มีโซเชียล เพลงที่เราปล่อยไปเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วยังไม่มียูทูบ ผมยังเคยคิดเล่นๆ เลยว่าเอ๊ะตอนนั้นถ้ามียูทูบเพลงเราจะสักกี่ล้านวิวน่ะ (หัวเราะ) แล้วจะมีฐานแฟนเพลงของเราที่ฟังเรา มากดมาตามเราในหน้าแฟนเพจเยอะมากๆ แต่ตอนนี้ไม่ทันแล้วไงเรามาทีหลัง ช้าไปก็ต้องมานั่งตาม เริ่มใหม่เหมือนกัน

เสน่ห์ในยุคก่อน ที่หวนคิดถึง

ผมว่าข้อดีมีทั้งยุคเก่ายุคใหม่หรือยุคปัจจุบัน เพราะผมเป็นคนมองทุกอย่าง 360 องศา ทุกอย่างมีข้อดีข้อเสีย ข้อดีของยุคสมัยก่อนคือ เป็นยุคเทปยุคเริ่มต้นของซีดียุคที่ยังทำอัลบั้มเต็มกันอยู่ แล้วเรารู้สึกว่าการทำอัลบั้มเต็มมีคุณค่าอย่างหนึ่งก็คือว่า ได้แสดงตัวตนของศิลปินจริงๆ ว่าศิลปินเขาคิดอะไร โดยเฉพาะศิลปินที่เขาทำงานเอง แต่งเพลงเองหมด ก็ทำให้คนรู้ว่าผมพยายามจะสื่อสารอะไรกับแฟนเพลง บางทีฟังเพลงเดียวที่เป็นซิงเกิ้ลอาจจะยังไม่รู้ว่าคืออะไร แต่ถ้าฟังอัลบั้มก็จะรู้ตัวตนของศิลปินมากขึ้น แล้วก็ด้วยความที่สมัยนั้นก็ยังไม่มีเพลงเยอะเหมือนสมัยนี้และยังไม่มีโซเชียล แล้วคนฟังเพลงสมัยนั้นฟังกันทั้งอัลบั้ม สมมุติเราปล่อยโปรโมททีละซิงเกิ้ลก็จริง แต่เวลาเปิดให้ฟังต้องฟังเพลงทั้งอัลบั้มฟังจนฝังเข้าไปอยู่ในหัว เปิดปกเทปมาอ่านเนื้อตามมีคุณค่ามาเลยนะ บางคนก็เอามาดูเลยว่าใครเป็นคนแต่งดูเครดิต สมัยนี้มีน้อยมาซึ่งน่าสงสารคนเบื้องหลังมาก แต่ก็โอเคก็ไม่เป็นไร นี่แหละคือความไม่เหมือนสมัยก่อน

วงการเพลงที่ว่าแย่ จริงๆ ไม่ได้แย่

คนทุกวันนี้ฟังเพลงเยอะขึ้นกว่าคนสมัยก่อน เพราะเราเข้าถึงเพลงได้ง่ายขึ้น ถ้าอย่างงั้นก็หมายความว่าตลาดใหญ่ขึ้นใช่ไหม อย่างเมื่อก่อนเมื่อ 5 ปีที่แล้วเราไม่มียูทูบให้ฟังเพลงฟรี เราจะฟังเพลงก็ต้องเก็บตังค์เพื่อไปซื้อซีดีศิลปินที่เราชอบ เพราะฉะนั้นเดือนหนึ่งเราซื้ออัลบั้มได้ 2 อัลบั้ม เราก็จะมีโอกาสฟังแค่ 2 ศิลปินที่เราไปซื้อมา ซึ่งเดือนหนึ่งศิลปินก็ออกหลายอัลบั้มอยู่นะช่วงนั้นเราก็ไม่มีโอกาสได้ฟังใช่ไหม ศิลปินนั้นก็หมดโอกาสเข้าถึงคุณ สมัยนี้เราจะฟังแค่ไหนก็ได้เพราะเราไม่ต้องไปเก็บตังค์เพื่อซื้อซีดี (หัวเราะ) ก็เปิดโอกาสให้คนฟังเข้าถึงมากขึ้น เฉลี่ยกันมากขึ้นด้วย อาจจะไม่ลึกซึ้งแต่ก็เฉลี่ยกันมากขึ้น ตลาดใหญ่ขึ้นก็เป็นอีกหนึ่งกำลังใจ เพียงแต่ว่าในแง่ธุรกิจอาจจะมีเครื่องมืออะไรบางอย่างเท่านั้นเอง

เพลงฮิตติดลมบน

อย่างเพลง “ใจให้ไป” ล่าสุดมีคนมาทักนะว่าเออคลื่นนี้ก็ยังเปิดอยู่นะ (ยิ้ม) ก็ดีนะ เวลาคนมาทักแบบนี้ทำให้ผมคิดว่า เฮ้ย.. ทำไมคนยังคิดถึงเพลงนี้ นี่ผ่านมา 15 ปีแล้วนะ ทำไมยังมีคนฟัง คลื่นวิทยุยังเปิดเพลงนี้อยู่ ก็เพราะว่าสมัยนั้นเราฟังกันมาเป็นปีไง มันฝังหัวเราอยู่ทั้งในความคิดความรู้สึกเลยทำให้คนคิดถึงเพลงในยุคนั้น ไม่ใช่เฉพาะเพลงของผม ศิลปินและเพลงของศิลปินคนอื่นๆ แฟนเพลงก็คิดถึงนะ แม้จะผ่านเวลามานานแล้วก็ตาม

มองอนาคตเพลงในปัจุบัน

แอบคิดนะ ไม่รู้อนาคตอีก 10 ปีข้างหน้าจะเป็นอย่างไร คือ เพลงที่ดังมากที่สุดเลยตอนนี้ ถ้าผ่านไปอีก 15 ปี จะเหมือนเพลงสมัยก่อนหรือเปล่า เพราะสมัยนี้เราฟังเพลงกันเร็วมาก แล้วเพลงก็จะอยู่ได้ประมาณ2-3 เดือน เพลงใหม่ก็มาแล้ว อีกอย่างเด็กรุ่นใหม่เขาฟังเพลงเขาไม่ได้ฟังเพลงอย่างเดียวเขาทำกิจกรรมอย่างอื่น เล่นโซเชียล ถ่ายรูป คอมเม้นต์ โพสเฟซบุ๊ค โน่นนี่นั่น ฉะนั้นเขาไม่มีสมาธิกับการฟังเพลงให้เขาหัว บางทีก็ฟังยังไม่ทันจบเพลงด้วยซ้ำไป เพราฉะนั้นเหมือนเพลงผ่านหูเขาแล้วก็ผ่านไปไม่ซึมซับยังไม่ทันได้ผูกความรู้สึกกับเพลงเลย ผมเลยมองว่าอนาคตไม่รู้ว่าแวลูของเพลงจะไปต่อได้ถึงอีก 10 ปี หรือ 15 ปีข้างหน้า ยังไม่ฟันธงว่ามันคืออะไร

ทุกเพลงคือลูก

เพลงใหม่ออกกันได้ทุกวัน ตามฟังกันไม่ทัน ศิลปินใหม่ก็เยอะ นักร้องจากการประกวดรายการร้องเพลงก็มีเยอะ เด็กรุ่นใหม่ที่ทำเพลงออกมาก็เยอะ ขนาดศิลปินเก่าอย่างผมก็ยังทำก็ต้องสู้ต่อไป ทวีคูณกันไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่เป็นไรหรอกและไม่กลัวอะไรด้วย เราทำเองเพราะเรารักและสนองตัวเราเอง ไม่ได้ทำเพลงเพื่อว่า เฮ้ยเราอยากมีเพลงดังอีกสักหนึ่งเพลงเพื่อเราจะได้อะไร แต่ก็ไม่รู้ครับบอกไม่ได้ เพราะวันที่ทำเพลง ใจให้ไป ไม่เคยคิดว่าจะดัง ก็ทำงานไป แต่กลายเป็นว่าสะดุดคนหมู่มากเขาชอบ เช่นเดียวกัน ทุกวันนี้ก็เราก็ทำไปถ้าไม่มีเพลงไหนไม่โดนก็ไม่เสียใจ ก็เท่ากับว่าเราภูมิใจในงานของเรา ถือว่าเราทำงานศิลปะชิ้นหนึ่งออกไปดีๆ บนโลกนี้ แล้วก็มีคนได้ฟังมากน้อยไม่รู้ แต่มีคนได้ฟัง แค่นั้นแหละ แล้วได้หันกลับมามองก็ภูมิใจว่าเราได้ทำ เราไม่ได้ขายวิญญาณนะเราทำด้วยความที่ว่าเรารักมันและอยากทำให้ออกมาให้ดีที่สุด ทุกเพลงคือลูกของเรา

คุณค่าในตัวเพลง

ผมว่า เพลง เป็นการบันทึกชีวิตส่วนตัวของเรา ถ้าเพลงที่เราได้แต่งเอง เป็นการบันทึกช่วงเวลานั้นๆ เราก็จะได้รู้ว่าเพลงนี้แต่งเพราะอะไร นั่นแหละ นึกถึงความผูกพันในเวลานั้นๆ เวลาไปเล่นบนคอนเสิร์ตก็จะพูดให้คนฟังว่าเพลงนี้มาจากไหน เพราะทุกเพลงมีที่ไปที่มาเสมอ

อิทธิพลโลกโซเชียลต่อการฟังเพลง

เพลงหลายๆ เพลงที่ดังในทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าเกิดจากการแชร์ เฟซบุ๊ค ยูทูบ บางเพลงปล่อยไป 2 ปีแล้วอยู่ดีๆ กลายเป็นดังมาก ยอดวิวเป็น 100 ล้านวิว ก็อย่างที่บอก ต้องกลับไปจุดเริ่มว่าเราก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำเลย อย่าไปท้อ ปล่อยไปแล้วไม่มีใครฟัง ไม่มีใครดูเลย เลิกทำดีกว่าไม่ใช่ ก็ทำต่อไปเดี๋ยวก็ถูกเปิดขึ้นมาอย่าง “เดอะทอยส์” (The Toys) ผมเคยไปดูเขาตั้งแต่ยังไม่ได้ขนาดนี้ไปดูเขาเล่นกีตาร์ ซึ่งเขาเล่นเก่งมาก แล้วผมก็ไม่เคยรู้ว่าเขามีเพลงด้วยนะ ก็ไปดูจากคลิปที่เขาโชว์ โซโล่กีตาร์ เก่งมาก เขาได้แชมป์ แล้วพอมาได้ฟังเพลงเขาอีกทีก็ เอ้าคนนี้นี่ที่เราเคยเข้าไปดูคลิปที่เขาเล่นกีตาร์ ฉะนั้นเรานั่งทำสิ่งที่เรารักให้ดีที่สุดผลดีๆ ตามมาแน่นอนไม่ว่าจะอาชีพไหนก็แล้วแต่ ไม่ต้องเที่ยวไปว่าคนโน้นคนนี้ เดี๋ยวนี้ดูเฟซบุ๊ค เห็นในไทม์ไลน์เยอะ ก็อย่าไปสนใจเลยนะมองผ่านๆ ทำใจให้เป็นการ นิ่งๆ ก้มหน้าก้มตาทำในสิ่งที่เราทำออกไปให้ดีที่สุด เสียเวลามากนะที่เราจะต้องคอยไปนั่งมองว่าคนโน้นคนนี้ไม่ดี เสียสุขภาพจิต ที่ทำสำคัญโซเชียลปัจจุบันทำให้โลกเรามีคนขี้อิจฉาเยอะขึ้นมีคนอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น ทำให้เรื่องส่วนตัวไม่เป็นเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป โซเชียลทำลายกำแพงพวกนี้หมดเลย แต่ในแง่มุมดีก็มีเป็นช่องทางในการโปรโมทผมก็ใช้ช่องทางในเฟซบุ๊ครวบรวมคนที่ชอบเราจริงๆเข้ามาติดตามงานเราได้ ซึ่งเป็นช่องทางไม่กี่ช่องทางในโซเชียลที่เราสามารถจะบอกแฟนเพลงได้เวลามีเพลงใหม่หรืออะไร ถ้าผมเลิกเล่นเฟซบุ๊คหรือยูทูบก็ไม่มีทางที่คนจะรู้เลย อันนี้ก็คือข้อดีมากๆ นี่คือข้อดีที่เร็วมากเลย

เพลงใหม่ที่แต่งจากประสบการณ์ตรง

คือคนเรา เวลาที่เรารักหรือเรารู้ว่าเรามีสิ่งหนึ่งที่คิดว่าเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิต เราจะกลัวที่จะสูญเสียสิ่งนั้นไป ผมว่าเป็นทุกคนนะครับ บางทีไม่ใช่เรื่องแฟนอย่างเดียวก็ได้นะ บางครั้งเป็นเรื่องของพ่อ-แม่ของเราก็ได้ บางครั้งเป็นคนที่มีพระคุณต่อเราหรือครอบครัว แน่นอนเลยผมเชื่อว่าหลายๆ คนต้องมีความรู้สึกนี้ ฉะนั้นพอมีลูกมีครอบครัวปุ๊บจะรู้เลยว่า รักตัวเองขึ้นมาทันที จริงๆ ไม่ได้รักตัวเองเพราะว่ารักตัวเอง รักเพราะว่าอยากจะมีชีวิตอยู่กับลูกตัวเอง จากที่เมื่อก่อนเคยเหลวไหลกินเหล้า สูบบุหรี่ บางคนละได้เลย เพราะฉะนั้นเพลงนี้เกิดจากการที่ผมมีครอบครัว คือตอนนี้ผมมีลูกสาว 3 ขวบและมีในท้องอีกคนหนึ่งลูกชาย ทำให้รู้ว่าเออเราเจออะไรมาเยอะผ่านเรื่องราวมามากมายก็รู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตเราคือสิ่งนี้แหละ ผมก็เลยคิดว่าเพลงนี้แหละคือเพลงสำหรับครอบครัวของเรา เพลงที่เขียนขึ้นมาเพื่ออธิบายตัวเรา The Best Thing (That Ever Happened To Me) อารมณ์เพลง เนื้อหาเป็นความรู้สึกกลัว ไม่อยากสูญเสียคนรักไป ถ้าวันหนึ่งเกิดเหตุการณ์อะไรที่คาดคิดขึ้นมาจริงๆ เราจะได้รู้ว่าจะต้องใช้เวลานี้ให้ดีที่สุด บอกรักดูแลคนที่เรารักให้ได้มากที่สุด ก่อนที่จะไปถึงวันที่เราต้องจากกันไม่ว่าจะจากกันด้วยเหตุผลอะไรก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าหลายๆ คนมีอารมณ์นี้แน่นอน

ฝากติดตามผลงาน

เพลงใหม่นี้ The Best Thing (That Ever Happened To Me) หาฟังกันได้ครับ หลักๆ เลยคือยูทูบ และผมกำลังจะทำแคมเปญเชิญชวนคนมาแชร์อะไรดีๆ ก็ต้องติดตาม อาจจะทำเป็นมิวสิกวีดีโอน่ารักๆ ออกมา แต่ว่าถ้าใครอยากเป็นเจ้าของเพลงนี้ต้องไปดาวน์โหลด เพลงนี้เกิดจากโครงการหนึ่งชื่อว่า zongger เว็บไซต์ http://www.zongger.com ที่นี่คือเปิดโอกาสให้ศิลปินที่ทำงานเองเอางานตัวเองที่มีเดโม่แล้วเอาไปโพสต์ให้คนฟัง อาจจะเป็นแค่สั้นๆ เป็นตัวอย่างเพลง แล้วคนที่เข้ามาฟัง ถ้าเขาอยากจะฟังเพลงเต็มที่เป็นมาสเตอร์สำเร็จแล้ว เขาสามารถเข้าไปร่วมสนับสนุนได้ คือเขาสามารถที่จะไป Sign In เพื่อสนับสนุนเพลงนั้นหรือศิลปินนั้นๆ โดยการลงเงินเข้าไป เป้าหมายคือแค่หนึ่งหมื่นบาทเท่านั้น ถามว่าทำเพลงได้ไหม ไม่ได้หรอกครับไม่พอกับทุกอย่าง แต่อย่างน้อยก็ช่วยศิลปินได้ เป็นจุดเริ่มต้น ช่วยจุดประกายให้เพลงนี้ไปต่อได้ บางครั้งเรามีเดโม่อยู่แต่ไม่มีทุนในการไปต่อซึ่งตรงนี้ช่วยได้เขาอาจะมีช้อยให้เลือกว่าจะสนับสนุนเท่าไหร่ตั้งแต่100 บาทเป็นต้นไปถึง 1,000 บาท แต่ยอดไม่ได้สูงมาก พอครบตามจำนวน 10,000 บาท ศิลปินก็มีกำลังใจที่จะไปทำงานต่อให้เสร็จเป็นมาสเตอร์ พอครบปุ๊บระบบหลังจาก 7 วันก็จะทำมาสเตอร์ ไม่เกิด 2 อาทิตย์เต็มที่ก็ได้ฟังมาสเตอร์ ก็อยากเชิญชวนทั้งศิลปินที่มีงานเป็นของตัวเองก็เข้าไปดูได้ คนที่มีใจสนับสนุนศิลปินที่ชื่นชอบก็เข้าไปตามดูได้มีงานดีๆ ให้เราดู แล้วพอทำสำเร็จเราก็จะได้มาสเตอร์ไปฟังด้วย

เพลงสอนให้ห่วงใย และเข้าใจรักที่แท้

บางทีผมก็นั่งคิดเหมือนกันนะว่า สมมุติถ้าเกิดเราสูญเสียคนรักไปแบบไม่มีวันกลับ ถ้าเกิดว่าเรายังไม่ทันได้ดูแลเขาให้ดีแล้วเสียเขาไปล่ะ เพราะฉะนั้นเราก็จะรู้สึกเสียดายภายหลัง แต่ถ้าระลึกได้ว่าวันนี้เขายังอยู่กับเรา แล้วให้สิ่งที่ดีที่สุดกับเขา เพราะเขาก็คือสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเรา เพลง The Best Thing (That Ever Happened To Me) นี่แหละที่เตือนใจว่าอย่าลืมว่าเรามีใคร จริงๆ แล้วการที่เรามีสิ่งที่ดีที่สุดคือความโชคดีระดับหนึ่ง แต่สิ่งที่สำคัญไปกว่านั้นคือการดูแลเขาให้ดีที่สุด ผมบอกเลยนะว่าผมเรียนรู้ด้วยประสบการณ์เสมอเพราะว่าเราเคยสูญเสีย ความรัก พลาดพลั้งสูญเสียคนที่เรารัก ประสบการณ์ส่วนตัวสอนเราหมดครับ แล้วก็กลับมานั่งดูเสมอว่าอืม คนที่เราสูญเสียไปเรามาระลึกรู้ได้ว่าเขาคือคนที่ดีมากๆ แล้วมันเกิดจากอะไรล่ะ ก็ส่วนหนึ่งเพราะเราไม่ได้ดูแลเขาให้ดีที่สุดไงล่ะ ไม่ว่าสาเหตุจะมาจากอะไรก็แล้วแต่ ถ้าเราดูแลคนที่เรารักได้ดีที่สุดมันก็อาจจะไม่เกิดการสูญเสียก็ได้ อันนี้จากเป็นนะ จากตายก็คนละเรื่องกัน มันทำให้รู้ว่าการได้มาซึ่งสิ่งที่เรารักมันง่ายกว่าการดูแล เพราะการดูแลเป็นเรื่องที่ยากมาก ต้องใช้พลังและความใส่ใจมากๆ ก็อยากจะบอกว่าดูแลคนที่เรารักให้ดีที่สุด เพราะไม่รู้ว่าเขาจะอยู่กับเราได้นานแค่ไหน แค่วันนี้เราขอดูแลเขาให้ดีที่สุดก็พอ ไม่ว่าจะพ่อ แม่ แฟน หรือจะเป็นใครก็ตาม

มีประสบการณ์ตรงแบบนี้นี่เอง เพลงของ โอ้- เสกสรรค์ จึงลึกซึ้งกินใจทั้งเนื้อหาและอารมณ์ เพราะทุกเพลงมีเรื่องราว ถึงทำให้เพลงนั้นน่าจดจำ

กุหลาบสีเงิน

Leave a comment