ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/entertain/306672

Star Retro : ‘อ้น-รติพงษ์’ เบนเข็มชีวิต วาดฝัน ผันเป็นผู้กำกับ
นักแสดงหนุ่มลูกหม้อจากค่ายดีด้า “อ้น-รติพงษ์ ภู่มาลี” ที่เคยแจ้งเกิดเป็นพลุแตกจากละครเรื่อง“พลับพลึงสีชมพู” เมื่อกว่า 18 ปีก่อน วันนี้เขาเป็นอยู่อย่างไร สตาร์เรโทรขอพาไปร่วมค้นมุมมองชีวิต จากเบื้องหน้า สานต่อสู่งานเบื้องหลังในวงการบันเทิง
กับวันนี้ของ “อ้น-รติพงษ์”
ชีวิตช่วงนี้ส่วนมากก็จะอยู่ที่กองถ่ายครับ ทำงานเบื้องหลัง เป็นผู้ช่วยผู้กำกับฯ ในละครเรื่อง “เพชรร้อยรัก”กับ “พ่อมดเจ้าเสน่ห์” ผมเพิ่งเริ่มมาจับงานเบื้องหลัง คือเจ้านายให้โอกาสครับ “พี่ลอร์ด” (สยม สังวริบุตร) อยากให้มาลองทำงานเบื้องหลังดูจะได้เรียนรู้การถ่ายทำด้วย จากที่เบื้องหน้าเราเคยอยู่เราก็จะรู้จักการทำงานอีกแบบนึง มันก็คือนักแสดงอ่านบทมาแล้วก็ทำการบ้านของตัวเอง รับผิดชอบหน้าที่ ทำการแสดงบทที่ตัวเองได้รับ แล้วก็จบ แต่พอมาอยู่เบื้องหลัง ก็จะเป็นอีกแบบนึงซึ่งจะไม่ใช่รับผิดชอบแค่ตัวเองคนเดียวแล้ว แต่นี่คือเราจะต้องมาอ่านทั้งหมด หมายความว่าเราต้องมาตีคาแร็กเตอร์ของแต่ละตัวละคร แล้วในละครแต่ละเรื่อง ตัวละครเยอะมาก ทั้งพระเอก-นางเอก ตัวร้ายตัวยิบย่อยลงไปอีก แม้กระทั่งนักแสดงสมทบ เราก็ต้องรู้ว่าความเป็นมาของแต่ละคนเป็นยังไง ถ้าเราไม่รู้ตรงนี้กระจ่างเราก็ไม่สามารถที่จะมาช่วยในตำแหน่งนี้ได้ ถ้าตัวละครเขาเล่นไปผิดทาง เราก็ต้องไปกำชับเขาในเรื่องแอ๊กติ้ง เรื่องการแสดงของเขา และบรีฟว่าตัวละครนี้เป็นยังไง ตอนนี้ก็เรียกว่าคิวแน่นทั้ง 7 วันเลยครับ แต่ถ้าวันไหนไม่ได้ถ่าย ก็จะมีประชุม สนุกนะครับ ได้เรียนรู้หลายรูปแบบดี ได้เรียนรู้การทำงานของพี่ๆแต่ละคน คือการที่เราอยู่ในกองมันเป็นคนละมุม ถ้าเราอยู่ตำแหน่งดาราเราก็จะมองแค่มุมนี้ ซึ่งการทำงานของทีมงานเหนื่อยมากๆ สมมติว่าดาราคิวมา 8 โมง ถ่ายเสร็จบ่ายๆ เขาก็กลับ แต่ถ้าเราอยู่เบื้องหลัง เช้าเราก็ต้องมาแต่เช้า แล้วเราอยู่ตรงนี้ เราเหมือนเป็นพี่เป็นน้อง งานเสร็จแล้วเราจะกลับก่อนก็ไม่ได้ ต้องกลับไล่เลี่ยกัน หรือกลับพร้อมกองเลิกเลยมีวันนึงไปถ่ายพ่อมดเจ้าเสน่ห์ที่ดาดฟ้า ผมก็มองภาพทีมงาน แบกกล้องขึ้นไปบนดาดฟ้า รู้สึกว่าเขาทำงานกันหนักหน่วงมาก ผมก็เลยกลับพร้อมเขาเลย ช่วยขนช่วยหิ้วอะไรได้ก็จะช่วย

ปรับโหมดจากเบื้องหน้าสู่งานเบื้องหลัง
ปรับเรื่องเวลาตื่นนอนก่อนเลยครับ ด้วยความที่ผมเป็นคนที่นอนดึก พอนอนดึกแล้วตื่นเช้าจะรู้สึกเลยว่าร่างกายมันไม่ไหว เลยจะเปลี่ยนการนอน ถ้าวันไหนอยากตื่นมาทำงานแฮปปี้ จะต้องเข้านอนก่อนเที่ยงคืน หรือว่าก่อนสี่ทุ่ม แล้วก็ตื่นตีสี่ตีห้า ก็จะรู้สึกว่าร่างกายไม่มีปัญหา แต่ก็มีบ้างที่นอนดึก เราก็ค่อยๆ ปรับ เริ่มสนุกในการทำงาน ได้ประสบการณ์ใหม่ๆ กับชีวิต ได้ความรู้ผมเป็นคนชอบหาความรู้ใหม่ๆ ชอบเก็บอะไรที่เป็นความรู้ ส่วนความรู้ที่เราได้เก็บเกี่ยวมาตอนที่เป็นนักแสดง เราก็นำมาถ่ายทอดให้กับน้องๆ เป็นไกด์ไลน์ให้น้องๆ ซึ่งน้องๆ เขาก็ทราบครับว่าเป็นนักแสดงมาก่อน เขาก็จะฟังจะเข้าใจในสิ่งที่เราอธิบาย คือบางครั้งเขาอ่านบทมาเขาไม่ได้ตีแตก ถ้าดาราเก่งๆ เราไม่ต้องไปบอกเขาเลยนะ เขาเล่นมาเราดูภาพให้มันสวยงามพอ แต่ถ้าเป็นน้องๆ ใหม่ๆ อาจจะต้องมีแนะนำนิดนึง
เป้าหมายที่วาดฝันไว้
ถ้ามีโอกาสก็คงสักตั้งนึงครับ กับการเป็นผู้กำกับ เพราะเจ้านายก็บอกไว้แล้วครับว่าให้มาศึกษาตรงนี้ก่อน เพราะไม่อย่างนั้นมันยากเหมือนกันนะ เราต้องเรียนรู้เรื่องการทำงานด้วย มันไม่ใช่แค่เราจะเก่งทฤษฎีแน่นปึ๊ก แต่มันมีอะไรหลายอย่าง มีทีมงาน มีพี่ๆ น้องๆ ที่เราต้องเรียนรู้ ใครยังไงนิสัยใจคอเป็นยังไง เพราะเราต้องทำงานร่วมกับคนอีกหลายคน เรียกว่าเราต้องเข้าใจหัวอกซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันมันต้องมีน้ำใจ ผมว่ามันสำคัญกว่าที่เราจะไปใช้พลังอำนาจ ถ้าการทำงานทุกคนแฮปปี้ทีมงานแฮปปี้ภาพที่ออกมามันก็จะแฮปปี้มีความสุขด้วย กองก็จะมีความสุข ผมมองอย่างนั้นนะ

ย้อนวันวานก้าวแรกในวงการบันเทิง
ผมเข้าวงการมาตอนอายุ 19-20 คือกำลังวัยรุ่น แล้วตอนนี้ 38 แล้ว ก็ประมาณ 20 ปีได้แล้วครับ เริ่มแรกเลยคือเข้ามาประกวดดัชชี่ปี 1998 (ยิ้ม) โอ้โห! เป็นไงล่ะ นานเลยใช่ไหมครับ จนบางครั้งคนงงว่าเราเป็นดัชชี่ด้วยเหรอ เพื่อนร่วมรุ่นผมหายไปหมดแล้วนะ จำได้ไหมขิง-ทัศนพรรณ, จุ๊บแจง-อารีย์สรวง, ตั้ม-รณสดมภ์,ลม วาโย ผมได้ที่ 3 ดัชชี่ ซึ่งเพื่อนร่วมรุ่นก็แทบไม่อยู่ในวงการกันแล้วครับ ตอนที่ประกวดดัชชี่ก็ไม่รู้นะว่าชีวิตนำพาไปยังไง ผมเป็นคนที่ไม่ได้ไขว่คว้าเรื่องการประกวดอะไรเลย จังหวะเหมือนว่าพี่ๆ หลายคนชวนไปมั้งครับ เราก็เลยอ่ะลองดูก็ได้ แล้วพอได้เข้ามาด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตาจากเด็กต่างจังหวัดคนนึง ผมอยู่สมุทรสาคร การดำเนินชีวิตของผมก็คือเหมือนเด็กชาวบ้านทั่วไป แค่ได้ออกไปรายงานหน้าชั้นเรียนก็ตื่นเต้นแล้วพูดอะไรไม่ออก แต่ว่านี่เราต้องมาแสดงต่อหน้าคนตั้งมากมาย ตอนที่มาเล่นละครเรื่องแรกกับทางดีด้าก็เทคไปประมาณยี่สิบสามสิบเทคเลยมั้ง ละครเรื่องแรกคือ “พลับพลึงสีชมพู” แล้ว “อั้ม” (พัชราภา ไชยเชื้อ) เก่งแล้วแต่ว่าผมนี่คือใหม่มาก เจออั้มก็ตื่นแล้วครับเจอคนสวยเข้าไป ทั้งทีมงานกล้องไฟทุกอย่างมันทำให้เราตื่นเต้นเข้าไปอีกหลายเปอร์เซ็นเลย ไม่เคยมีประสบการณ์ทางการแสดง
มาก่อนมาแบบใหม่ๆ ก็เล่นเลยรู้สึกว่าจะมี “พี่เอ๋-กษมา” เป็นแอ๊กติ้งโค้ชให้เขาก็คงจะระอาเหมือนกัน (หัวเราะ) ในความที่เราไม่เข้าใจละครเรายังจับใจความอะไรไม่ได้เลย บวกกับความตื่นเต้นมันก็เลยทำให้เราลืมทุกอย่าง เรื่องแอ๊กติ้งนี่มันยากเหลือเกินเคยไปพูดกับแม่ แต่แม่ก็บอกมาคำนึงว่ามันไม่มีอะไรที่ง่ายสำหรับใครหรอก ถึงมันจะยากแต่ถ้าเราผ่านมันไปได้เราก็จะผ่านมันได้

ภาพสะท้อนให้นึกถึงวันนั้น
ผมเข้าใจเลยครับ พอได้เห็นภาพน้องๆ สมัยนี้แล้วนึกย้อนไปในวันนั้นที่เรายังไม่รู้อะไรยังเล่นไม่ได้เราแทบจะไปนั่งอยู่ในใจของเขาเลยว่าอาการมันเกิดจากอะไร ยังบอกกับน้องๆเลยว่าเวลาอยู่ในกองให้พยายามคุยกันนะสร้างความสัมพันสร้างมิตรภาพให้มีความคุ้นเคย พอเราไม่มีความกดดันมีความคุ้นเคยอาการประหม่ามันจะลดลง แล้วทุกอย่างจะง่ายขึ้น เรียกว่าเอาประสบการณ์ตรงของเรามาแชร์ให้น้องๆ
กำลังใจสำคัญที่ไม่เคยลืม
จะเรียกว่าผมแจ้งเกิดจากละครเรื่อง “พลับพลึงสีชมพู” เลยก็ว่าได้ครับ คือเรตติ้ง 25-27 คงจะหาไม่ได้แล้วในตอนนี้ ความรู้สึกของผมคือภูมิใจมาก แต่เราก็ไม่รู้ว่าผมดังเหรอ (หัวเราะ) ผมไม่รู้จริงๆ แต่สิ่งที่ผมรู้ก็คือตอนที่ผมไปรายการ 07 โชว์ คือผมมานั่งนึกแล้วก็อยากจะขอบคุณ คือผมไปรายการแล้วเขาจะมี 3 ทีม แล้วเวลาคะแนนโหวตกันมาผมไม่เคยตกรอบเลย ผมรู้สึกดีใจมาถึงทุกวันนี้นะเราไม่รู้จะบอกเขายังไง อยากขอบคุณจากใจเลยว่านี่คือแฟนคลับเราสมัยก่อนนะที่เขาดูจริงใจ บอกไม่ถูกมันคงเหมือนแฟนคลับสมัยนี้มั้งครับ เพียงแต่ว่าสมัยนั้นมันไม่มีสื่อโซเชียลที่เราไม่สามารถไปบอกเขาได้ไปตอบเขาในไอจีได้ แต่ที่ผมรู้คือมีจดหมายมาที่บริษัทเป็นสามสี่หมื่นฉบับ ประมาณ 4 กระสอบก็ตอบไปบ้างบางคนก็ยังไม่ได้ตอบและพยายามอัดรูปเซ็นข้างหลังรูปแล้วก็ส่งไปให้เป็นหนึ่งความอิ่มเอมใจที่สมัยนี้คงหาไม่ได้แล้ว

จากละครปัจจุบัน สู่ละครพื้นบ้าน จักรๆ วงศ์ๆ
หลังจากนั้นก็เล่นละครมาเรื่อยๆ และมีโอกาสได้เล่นละครจักรๆ วงศ์ๆหรือละครพื้นบ้านนั่นเองครับมีเรื่อง อุทัยเทวี, ดาบเจ็ดสีมณีเจ็ดแสง, เกราะกายสิทธิ์ เล่นอยู่ประมาณ 4-5 เรื่องครับ ก็ต้องปรับตัวปรับโหมดจากละครปัจจุบันมาสู้ละครแบบจักรๆวงศ์ๆ ในช่วงแรกนะครับ แต่พอเราอินเข้าไปแล้วคำราชาศัพท์ต่างๆ มันก็มาเอง ไม่ได้มีปัญหาอะไร มันจะเข้าไปในสมองเอง แต่ถ้าเราท่องมันจะยากมาก มันเป็นอะไรที่แปลกเหมือนกันนะครับสำหรับการแสดง คือถ้าเรายิ่งท่องมันก็จะยิ่งยาก แต่ถ้าเราเข้าใจมันก็จะมาเอง
ผลงานที่ประทับใจ
ผมชอบทุกเรื่องเลยครับ แล้วก็จะชอบซีนหนักๆซีนอารมณ์ “สวรรค์สร้าง” ก็ชอบนะดูกดดันดี อันนั้นเล่นเป็นพี่ชายของ “มิน” (พีชญา วัฒนามนตรี) แล้วเราก็ต้องฆ่าตัวตาย ได้แสดงแววตาได้กดดันตัวเอง แต่บทที่เล่นยากสำหรับผมคือบทตลก คือเราจะเล่นยังไงให้คนตลก บางคนเล่นเราฟังยังไม่ขำเลย เรารู้สึกว่ามันเฟคก็เลยรู้สึกว่าเล่นบทตลกนี่มันยากถ้าเราไม่อินหรือว่าไม่มีจังหวะจะโคนจริงๆ

ด้วยวิถีที่เป็นไป กับบทบาทที่เปลี่ยน
อาจจะมีช่วงที่หายหน้าหายตาไปบ้าง แล้วก็ได้มีโอกาสไปเล่นของช่องจ๊ะทิงจาบ้าง และก็หาที่เที่ยวให้ตัวเองผมว่ามันก็เป็นอย่างนี้นะ จะเรียกว่าวัฏจักรก็จะไกลไป คล้ายๆ ว่ามันต้องเป็นไปตามนี้อยู่แล้ว อยู่ที่ว่าอายุเท่านี้จะบทไหน ถ้าอายุเท่านี้จะไปเป็นพระเอกก็เป็นได้นะ ต้องขึ้นอยู่กับเนื้อเรื่อง พออายุเปลี่ยนไป ก็ต้องเล่นไปตามวัย เล่นเป็นพ่อ เป็นปู่ก็ยังได้ (ยิ้ม) ตอนนี้มันไม่มีปัญหาแล้วครับในการที่จะเปลี่ยนบทบาท แต่ขอให้ทำแล้วมีความสุขก็พอ ผมคิดแค่นั้น ผมไม่ได้นึกท้อกับตรงนี้นะ คือถ้าไม่มีงาน เราก็อยู่บ้านอยู่กับเพื่อนได้เจอเพื่อน ไม่ได้ทำธุรกิจอะไรรองรับ คือที่บ้านจะมีที่ดินให้เขาเช่านิดหน่อยเท่านั้นเอง ผมก็เล่นละครกับทางดีด้านี่แหละครับ อยู่กับพี่ลอร์ดมาจนเรียกว่าเป็นลูกหม้อ (หัวเราะ) ให้ไปไหนก็คงไม่ไปแล้วครับ อยู่กับเจ้านายดีกว่า มีอะไรก็ช่วยๆ กันดีกว่า เราก็เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาเยอะนะครับ ยิ่งมาทำเบื้องหลังเรายิ่งรู้หลายๆ มุมในการทำงาน รู้ว่าการทำละครจะทำยังไงให้มันสนุก เป็นความรู้ที่หาอ่านในหนังสือไม่ได้ ในหนังสือเราอาจจะได้แค่ทฤษฎี แต่ในกองเราได้ทั้งปฏิบัติและได้อะไรอีกมากมายที่เราได้เก็บเกี่ยวเอง เพราะว่าผู้กำกับแต่ละคนก็มีเทคนิคในการทำงานที่ต่างกัน ผู้กำกับเก่งทุกคนแหละครับ แต่อาจจะเก่งกันคนละด้าน ผมก็พยายามจะเอาจุดเด่นของแต่ละคนมารวบรวมไว้
กับชีวิตโสดในแบบชิลๆ
อยู่แบบนี้สบายดีครับ (ยิ้ม) คือก็มีคนคุยด้วยแหละ คนเราอยู่คนเดียวไม่ได้อยู่แล้ว แต่ว่ายังไม่ถึงขั้นจะสร้างครอบครัว คือก็มีเหงาบ้าง แล้วเราก็ไปหาเพื่อนฝูงเที่ยวเตร่ตามประสาของเราไป อีกอย่างแม่ก็ไม่ได้ขออะไร แม่จะชิลมาก แม่เป็นคนไม่ค่อยพูด แต่กลับบ้านไปข้าวนี่รอเลยนะ แม่รู้ว่าเราชอบกินอะไร ก็จะทำกับข้าวไว้รอผมกลัวจะอ้วนไม่กินข้าวแม่ก็ห่วงหุงข้าวไว้ให้ตลอด กลางคืนรอเรากลับมากิน ส่วนมากแม่เขาจะไม่พูดครับรู้ใจอย่างเดียว ไม่ได้ขออะไรด้วย เรื่องความรักเรื่องแฟนหรือเรื่องคอยตามห่วงว่ากลับบ้านกี่โมงอะไรยังไงไม่เลย เราโตแล้ว แต่แค่บอกบ้าง ถ้าเราไปไกลๆ คือจะว่าผมเลือกเยอะไหมเหรอ ผมคิดว่าถ้าเราทำอะไรแล้วเรามีความสุขเราก็ทำดีกว่า อย่าง ณ วันนี้เราก็มีความสุขกับการทำงานเบื้องหลังของเราที่กำลังเริ่มต้นจริงๆ เหมือนผมจะโลกส่วนตัวสูงนะ (หัวเราะ) อย่างเวลาที่ได้หยุดงานผมก็จะไปเที่ยวกลางทะเลเลย ช่วงที่เล่นละครหนักๆ เวลาปิดกล้องทีผมไปทะเล 7 วัน อยู่กลางทะเลตกปลา ไดหมึก อาจจะเพราะความเป็นส่วนตัวสูงมั้งเลยยังไม่มีใคร คือเดี๋ยวถ้าพูดอะไรไม่ถูกใจกันจะกลายเป็นทะเลาะเปล่าๆดังนั้นอยู่เป็นเพื่อนๆ คอยดูแลกันดีกว่าไม่ต้องอะไรมากมายให้ต้องคอยตามคอยรายงานกัน

หลากหลายบุคคลที่มิอาจลืม
ผมก็ต้องขอบคุณทั้งทางดัชชี่บอย ขอบคุณทั้งพี่ลอร์ด ซึ่งมาแรกๆ นี่ผมก็ไม่รู้ว่าพี่ลอร์ดคือเจ้าของบริษัท คือพี่ลอร์ดมาเทสหน้ากล้องผมก็นึกว่าพี่ลอร์ดเป็นตากล้อง (หัวเราะ) ด้วยความที่เราไม่รู้จักใครเลยจริงๆ สมัยก่อนไม่มีใคร พอเทสหน้ากล้องเสร็จก็ผ่านจนมาถึงวันเซ็นสัญญาและได้เล่นละครก็อ้าว นี่เจ้านายเราเหรอ ก็ตกใจเลยครับ ตื่นเต้นด้วย วันนั้นแม่ก็ไปด้วย ก็อ้าวนี่คือพี่ลอร์ดเหรอ ก็ต้องขอบคุณครับ ความจริงมีเยอะนคนที่ผมต้องขอบคุณ เพราะมีพี่หลายๆ คนที่อยู่ในวงการที่เราเข้ามาเล่นแล้วเขาก็แนะนำเราก็ได้วิชา ขอบคุณผู้กำกับหลายๆ คน ที่บทไหนที่เรายังไม่เข้าใจในช่วงนั้นก็ได้สอนเราแล้วเราก็เก็บเอามา ตอนนี้มันก็อยู่ในตัวผมแล้วสำหรับวิชาต่างๆ พอผมมาอยู่ตรงนี้ผมก็ต้องเอาวิชาไปถ่ายทอดให้กับรุ่นน้องถ่ายทอดให้กับนักแสดงได้
ความในใจที่อยากจะบอก
ยังคงมีแฟนๆ จดจำได้ครับมีคนเข้ามาทักทายเสมอ ส่วนมากจะทักจาก “พลับพลึงสีชมพู” และจากหนังเจ้าเขาก็จำได้ และเวลาละครออกใหม่ๆ ล่าสุดผู้พันสมุทร จากเรื่อง “นักรบตาปีศาจ” ก็ยังโดนทักอยู่ นี่ขนาดว่าเราเล่นรับเชิญแค่นิดหน่อยนะ ก็อยากขอบคุณจะเรียกว่าแฟนคลับได้ไหมนะ (ยิ้ม) อยากขอบคุณย้อนไปเมื่อ 20 ปีที่แล้วเลย บางครั้งเราก็ไม่รู้ว่าการที่เขาปลื้มเราเป็นยังไง แต่ว่าเวลาที่ผมไปรายการ 07 โชว์แล้วเขากดส่ง SMS กันเข้ามาให้คะแนนเราตลอด นั่นคือเขาปลื้มเรามากเลยนะก็รู้สึกดีอยากขอบคุณทุกคนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันเลยครับที่ยังน่ารักกับผมเสมอมาชื่นชมในตัวผม ซึ่งผมก็จะทำงานเบื้องหลังที่กำลังเริ่มทำตรงนี้ออกมาให้ดีที่สุดส่วนงานเบื้องหน้าถ้ามีโอกาสก็จะกลับมาเล่นเรื่อยๆ และขอขอบคุณผู้ใหญ่ทางช่อง 7 ถ้าเป็นสมัยนั้นก็คงต้องขอบคุณ “คุณแดง” (สุรางค์ เปรมปรีดิ์) ครับที่ให้โอกาสผมได้มาอยู่ตรงนี้ ผมว่ามันเป็นสิ่งอัศจรรย์มากสำหรับเด็กคนนึงที่อยู่ต่างจังหวัดแล้วได้เข้ามาเรียนรู้ตรงนี้
นับเป็นข่าวดีสำหรับวงการบันเทิง ที่จะมีบุคลากรผู้อยู่เบื้องหลังและสรรค์สร้างผลงานดีๆ ออกมาให้แฟนๆ ได้ชมกัน
กุหลาบสีเงิน
