ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/lady/306680

pet care : วิธีและช่องทางการให้ยาสัตว์น้ำ ตอนที่ 1
สวัสดีครับ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเราได้รู้จักชนิดของยาและสารเคมีที่ใช้กับสัตว์เลี้ยงในตู้ปลาไปแล้ว วันนี้ผมมีข้อมูลดีๆ เกี่ยวกับวิธีการให้ยาสัตว์น้ำโดย รศ.สพ.ญ.ดร.อรัญญา พลพรพิสิฐ มาฝากกันต่อครับ
✯ วิธีการให้ยาในตู้ปลาสวยงาม
การให้ยาในตู้ปลาสวยงาม เราอาจทำได้หลายวิธี เช่น การป้อนให้กินโดยตรง การผสมในอาหารให้กิน การทาบริเวณที่มีอาการ การผสมน้ำแล้วนำปลามาแช่ในระยะเวลาที่ต่างกัน การใส่ยาลงไปในน้ำที่เลี้ยงปลาโดยตรงเลย หรือการให้ยาโดยการฉีด อาจฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ฉีดเข้าถุงลม หรือฉีดเข้าช่องท้อง เป็นต้น
1.ยากิน
ตัวอย่างยาที่นิยมให้โดยการป้อนให้กิน ได้แก่ วิตามินต่างๆ ยาถ่ายพยาธิที่มีฤทธิ์ฆ่าปรสิตภายใน และยาปฏิชีวนะหลายชนิด
ยาชนิดที่เป็นเม็ดขนาดเล็กอาจใช้วิธีการป้อนเข้าปากปลาโดยตรง ส่วนยาที่เป็นยาน้ำ สามารถใช้ไซริงค์ดูดยา แล้วป้อนเข้าปากปลาได้โดยตรงได้โดยการหยดช้าๆ เพื่อให้ปลาค่อยๆ กลืนลงไป
การจับบังคับปลาเพื่อป้อนยานั้นสามารถทำได้ในกรณีที่ปลาเชื่องมีความคุ้นเคยกับผู้เลี้ยง และปลามีขนาดใหญ่พอประมาณ เช่น ปลาทองปลาคาร์ฟ เป็นต้น
ในกรณีปลาที่มีความก้าวร้าว ปลาที่ตื่นตกใจง่าย ไม่ควรให้ยาด้วยวิธีนี้ เพราะอาจทำให้ปลาดิ้นรนและบาดเจ็บจากการจับบังคับได้ ตัวอย่างของปลาที่ไม่ควรจับบังคับเพื่อการป้อนยา เช่น ปลามังกรหรือปลาอะโรวาน่าปลาหมอสี ปลาปอมปาดัวร์ เป็นต้น
ส่วนปลาที่ไม่สามารถให้ยาโดยการป้อนให้กินโดยตรงนั้น สามารถให้ยาได้โดยการผสมไปในอาหาร ซึ่งวิธีการผสมอาหารนั้นทำได้โดย การนำยาที่คำนวณปริมาณที่ต้องการให้ปลาได้รับมาคลุกกับอาหารผงชนิดที่ปั้นเป็นก้อนเหนียวได้ หรือ นำอาหารเม็ดปกติที่ปลากินมาคลุกเคล้ากับยา แล้วนำมาผึ่งลมให้แห้งแล้วค่อยๆ ให้ปลากินช้าๆ จนหมด
ในการให้ยาประเภทนี้จะต้องทำการเตรียมใหม่ทุกครั้ง หรือ ผสมเจลาตินเหลวอุ่นๆ กับยา แล้วจึงนำอาหารมาคลุกแล้วผึ่งแห้ง โดยเตรียมวันละครั้ง ในปริมาณที่เพียงพอสำหรับความต้องการของปลาในแต่ละวันเท่านั้น จะไม่ทำเก็บไว้จำนวนมากเพราะคุณภาพของยาจะเสื่อมลง
ในกรณีปลากินเนื้อที่ไม่ได้กินอาหารเม็ด อาจนำยาที่ต้องการฉีดเข้าไปในชิ้นเนื้อที่เป็นอาหารปลา แล้วให้ปลากินเนื้อที่มียานั้น หรือ กรณีปลาเหยื่อมีชีวิต อาจนำยาที่ต้องการให้ปลาที่เลี้ยงได้รับโดยการฉีดเข้าช่องท้อง หรือ ถุงลม แล้วจึงนำปลาเหยื่อไปให้กับปลากิน

2.ยาทาและยาแช่ปลา
การให้ยาทาบริเวณที่มีอาการ สามารถทำได้เช่นกันในกรณีปลาที่เชื่องและคุ้นเคยกับผู้เลี้ยง เนื่องจากต้องจับปลาหลายครั้งในหนึ่งวันเพื่อทายา โดยยาที่นิยมใช้ ได้แก่ เจลปฏิชีวนะป้ายตารักษาอาการตาอักเสบเนื่องจากการติดเชื้อแบคทีเรีย เป็นต้น แต่เนื่องจากยาจะละลายน้ำหมดไปรวดเร็ว จึงต้องป้ายยาวันละหลายๆ ครั้ง ในสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำสวยงามนิยมใช้ทิงเจอร์ไอโอดีนเบตาดีน ยาเหลือง หรือยาแดง ในการทาป้ายฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง
แต่ยาทาที่ผิวหนังนั้นไม่ควรใช้ในปลา เนื่องจากระบบป้องกันร่างกายของปลาจากการสร้างเมือกขึ้นปกคลุมบริเวณผิวหนังจะป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรียในน้ำได้ และยาที่ทาผิวหนังจะเจือจางทันทีเมื่อปลาสัมผัสน้ำ หากจำเป็นต้องใช้ยาฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง สามารถใช้ได้โดยการผสมน้ำแล้วนำปลามาแช่เป็นระยะเวลาสั้นๆ ครั้งละ 5-10 นาทีได้ ขึ้นอยู่กับชนิดของยาที่ใช้ ความเข้มข้นของยาที่เตรียม ความรุนแรงของโรค อายุของปลา และชนิดของปลา เป็นต้น
ตัวอย่างยาที่ใช้โดยวิธีนี้ได้แก่ ยาปฏิชีวนะอ๊อกซี่เตตร้าซัยคลินเกลือแกง ฟอร์มาลิน หรือแม้กระทั่งการนำปลาทะเลที่เลี้ยงในน้ำที่มีความเค็มมาแช่ในน้ำจืดเป็นระยะเวลา 5-10 นาที ก็สามารถช่วยลดปริมาณเชื้อแบคทีเรียและปรสิตภายนอกได้
การแช่ปลาเพื่อรักษาอาการติดเชื้อแบคทีเรีย นอกจากจะสามารถทำโดยการแช่เป็นระยะเวลาสั้นๆ แล้ว ยังสามารถใช้แช่ระยะเวลานาน หรือผสมลงในน้ำเลี้ยงปลาแล้วเปลี่ยนถ่ายเมื่อมีการเปลี่ยนถ่ายน้ำได้
ในการใช้ยาปฏิชีวนะในการแช่ ควรใช้ติดต่อกันเป็นเวลา 7-14 วัน ส่วนการใช้ยากำจัดปรสิตแช่ปลานั้นไม่ควรใช้ติดต่อกันทุกวัน เนื่องจากยาหรือสารเคมีที่มีฤทธิ์กำจัดปรสิตภายนอกนั้นจะมีความระคายเคืองต่อปลามาก และมีผลกระตุ้นใหปลาสร้างและขับเมือกที่ผิวหนังออกมา หากใช้ต่อเนื่องกันหลายวันจะทำให้ปลาขับเมือกมาก อ่อนเพลีย และเกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังและเหงือกปลาอย่างรุนแรง ซึ่งจะเป็นอันตรายต่อปลา ควรใช้แช่ประมาณสัปดาห์ละครั้ง จนกว่าอาการจะดีขึ้น
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย