บี มาย เกสท์ : ‘ดร.พลภัทร นิติธรรมยง’ แรงบันดาลใจจากลูก สู่โรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกและเด็ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/309065

บี มาย เกสท์ : ‘ดร.พลภัทร นิติธรรมยง’ แรงบันดาลใจจากลูก  สู่โรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกและเด็ก

บี มาย เกสท์ : ‘ดร.พลภัทร นิติธรรมยง’ แรงบันดาลใจจากลูก สู่โรงเรียนสอนว่ายน้ำทารกและเด็ก

วันเสาร์ ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

” การที่เด็กได้ลงสระว่ายน้ำไม่ใช่แค่ความสนุก แต่ยังได้เรื่องของความแข็งแรงของร่างกายแต่ยังฝึกให้ลูกรับมือกับสิ่งไม่คาดคิดรู้จักเอาตัวรอด แม้ว่าเราจะระมัดระวังแค่ไหนแต่เหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา “

ในยุคที่ได้เชื่อว่า “ชีวิตคือ การแข่งขัน” คนเป็นพ่อแม่จึงมักเตรียมความพร้อมด้านการศึกษาให้กับลูกตั้งแต่วัยเยาว์ หลายครอบครัวเลือกที่จะส่งลูกไปเรียนเสริมทักษะที่เน้น IQ กันตั้งแต่ลูกเริ่มจะท่อง ก.ไก่ ข.ไข่ กันเลยทีเดียว แต่สำหรับคุณพ่ออย่าง ดร.พลภัทร นิติธรรมยง กลับมองว่าสิ่งนั้นยังไม่สำคัญเท่ากับการส่งเสริมให้ลูกมีพัฒนาทางด้านร่างกายและจิตใจที่เหมาะสมกับวัย การมองหากิจกรรมเสริมทักษะที่สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันยามที่พ่อแม่อาจจะไม่ได้อยู่ดูแลได้ตลอดเวลา

ด้วยแนวคิดนี้เอง ดร.พลภัทร คุณพ่อซึ่งมีลูกสาวสองคน คือ น้องพริม-ด.ญ.ณัฐฐภา อายุ 4 ขวบ และน้องพราว-ณิชชภา อายุ 2 ขวบ จึงมองหากิจกรรมที่ว่านั้น และพบว่า การว่ายน้ำ คือกิจกรรมที่เขาตามหา เพราะการเรียนว่ายน้ำของเด็กเล็กจะช่วยเสริมสร้างพัฒนาด้านร่างกาย กล้ามเนื้อต่างๆ ได้เป็นอย่างดี แต่ในขณะนั้นเมืองไทยยังไม่มีสระว่ายน้ำและหลักสูตรการสอนว่ายน้ำสำหรับเด็กเล็กที่มีมาตรฐาน จึงเกิดเป็นแรงบันดาลใจให้ ดร.พลภัทร สร้างหลักสูตรว่ายน้ำและสระว่ายน้ำสำหรับเด็กเล็กที่ได้มาตรฐานมีความปลอดภัยภายใต้ชื่อ BABY SWIMMING THAILAND

“เด็กๆ ทุกคนชอบเล่นน้ำ และในแต่ละปีเราจะได้ยินข่าวเด็กจมน้ำเสียชีวิตกันบ่อยมาก ซึ่งผมมองว่า พ่อแม่ทุกคนบางครั้งก็ไม่สามารถที่จะระแวดระวังลูกได้ตลอดเวลา ดังนั้น จะดีกว่าไหมถ้าเราสอนให้ลูกเรียนรู้การช่วยเหลือให้รอดจากการจมน้ำได้ด้วยตัวเองได้ ซึ่งในต่างประเทศเขาจะมีโรงเรียนสอนอย่างเป็นระบบ ผมจึงตัดสินใจสร้าง เบบี้ สวิมมิ่ง ขึ้นมา ไม่ใช่แค่สระว่ายน้ำที่ได้มาตรฐานมีความปลอดภัยกับเด็กเล็กเท่านั้น แต่หลักสูตรทั้งผมกับภรรยาก็ได้ไปเรียนที่ออสเตรเลียจนได้ใบอนุญาตครูสอนว่ายน้ำเด็กเล็ก และได้ปรับปรุงหลักสูตรให้เหมาะกับวัฒนธรรมบ้านเรา”

ที่ เบบี้ สวิมมิ่ง ไทยแลนด์ จะรับสอนเด็กเล็กที่มีอายุตั้ง 4 เดือน – 6 ขวบ โดยแบ่งเป็นระดับ ได้แก่ Star Fish Class 4 เดือน – 1 ปี Nemo Class สำหรับอายุ 1-2 ขวบ Dolphin Class สำหรับอายุ 3-4 ขวบ และ Shark Class สำหรับอายุ 4-6 ส่วนสระว่ายน้ำนั้นเป็นระบบน้ำเกลือ ปรับอุณหภูมิประมาณ 31-33 องศา และมีการตรวจสอบคุณภาพน้ำอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้เกิดการระคายเคือง หรือการแพ้ต่อผิวเด็กเล็ก จนได้รับมาตรฐาน ISO 9001:2015 เป็นแห่งแรกของเมืองไทย

“ในคลาสสตาร์ฟิช และนีโม่ เน้นการเอาตัวรอดในน้ำ สามารถลอยตัวได้ กลั้นหายใจในน้ำ สามารถพลิกตัวนอนหงายลอยตัวเพื่อรอการช่วยเหลือได้ ไปจนถึงการหมุนตัวเข้าหาฝั่งได้ และเป็นคลาสที่ต้องมีคุณพ่อหรือคุณแม่ร่วมชั้นเรียนด้วย ในขณะที่ Dolphin Class หรือคลาสปลาโลมา ก็จะเป็นการเตรียมความพร้อมที่จะไปสู่การว่ายน้ำเป็น และคลาสปลาฉลาม คือเด็กๆ จะสามารถว่ายท่าฟรีสไตล์ได้ ในแต่ละคลาสยังแบ่งย่อยออกเป็น 3 ระดับ คือ Bronze Silver และ Gold เนื่องจากเด็กแม้จะมีอายุเท่ากันแต่พัฒนาการหรือความเร็วในการเรียนรู้ไม่เท่ากัน

ส่วนคุณครูของเรา จะเป็นครูที่จบด้านวิทยาศาสตร์การกีฬา และได้รับการอบรมการสอนว่ายน้ำเด็กเล็กโดยเฉพาะ รวมถึงการควบคุมคุณภาพความปลอดภัยของน้ำในสระ เพราะผิวเด็กมีความบอบบาง มีความไวต่อการที่จะแพ้สารเคมี สิ่งแปลกปลอมต่างๆ เราจึงตั้งใจทำระบบทุกอย่างให้ได้มาตรฐานมีความปลอดภัย ทั้งหมดที่เราทำเพราะเข้าใจถึงความรัก ความห่วงใยของพ่อแม่ เพราะผมก็เป็นพ่อเหมือนกัน การจะให้ลูกไปเล่นหรือทำกิจกรรมใดๆ พ่อแม่ย่อมกังวลถึงความปลอดภัยลูก เด็กๆ ที่มาเรียนกับเราก็ต้องดูแลใส่ใจให้เหมือนกับลูกของเราเอง”

ปัจจุบัน BABY SWIMMING THAILAND มีทั้งหมด 4 สาขา ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด แสดงให้เห็นว่า คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่เห็นความสำคัญของการที่จะให้ลูกน้อยรู้จักการเอาตัวรอดในน้ำได้ยามเกิดเหตุไม่คาดคิด

“การที่เด็กได้ลงสระว่ายน้ำ ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่ยังได้เรื่องของความแข็งแรงของร่างกาย แต่ยังฝึกให้ลูกรับมือกับสิ่งไม่คาดคิด รู้จักเอาตัวรอด แม้ว่าเราจะระมัดระวังแค่ไหน แต่เหตุไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยลดความสูญเสียได้ ผมจึงอยากให้พ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนตระหนักถึงความจำเป็นของการว่ายน้ำ และผมคิดว่ามันเป็นของขวัญชิ้นแรกๆ ที่พ่อแม่ควรจะมอบให้ลูกได้”

ในฐานะคุณพ่อที่มีลูกเกิดมาในยุคที่เรียกว่า “โซเชียลครองเมือง” ดร.พลภัทร ทิ้งท้ายว่า “การปล่อยลูกให้อยู่กับสมาร์ทโฟน แท็บเลต หรือทีวี. ผมถือว่านั่นเป็นการทำร้ายลูกเราอย่างไม่รู้ตัว เพราะลูกยังเล็กเกินกว่าจะรู้ได้ว่าอะไรที่เขาควรหรือไม่ควรรับรู้ และยังส่งผลถึงพัฒนาการของลูก การเลี้ยงลูกในยุคโซเชียลแบบนี้ หน้าที่ของพ่อแม่คือต้องรู้เท่าทันสื่อ เทคโนโลยี และต้องคอยกรองให้ลูกได้รับสิ่งที่เหมาะสมกับวัย ที่สำคัญคือพ่อแม่ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีที่ลูกสามารถซึมซับและสามารถยึดเป็นแบบอย่างได้”

Leave a comment