pet care : วิธีและช่องทางการให้ยาสัตว์น้ำ (ตอนจบ)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/lady/309190

pet care : วิธีและช่องทางการให้ยาสัตว์น้ำ (ตอนจบ)

pet care : วิธีและช่องทางการให้ยาสัตว์น้ำ (ตอนจบ)

วันอาทิตย์ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เราได้คุยกันถึงเรื่องการให้ยาในรูปแบบต่างๆ ทั้งยากิน ยาทา และยาฉีด รวมถึงสภาพแวดล้อมที่ดีของปลาไปแล้ว แต่ในการรักษาจริงนั้น จะมีปัญหาที่เกี่ยวข้องในการใช้ยาหลายเรื่อง สัปดาห์นี้เรามาดูกันนะครับว่าปัญหาที่พบบ่อยๆ นั้น มีอะไรบ้าง

● ปัญหาที่พบบ่อยในการใช้ยาในสัตว์น้ำคืออะไร?

ปัญหาที่สำคัญคือ การใช้ยาและสารเคมีอย่างผิดๆ เช่นใช้ยาไม่ตรงกับโรค ใช้ปริมาณมากหรือน้อยเกินไป การให้ในระยะเวลาที่ให้ยาไม่เหมาะสม รวมถึงวิธีการให้ยาไม่เหมาะกับความสามารถในการให้ยาเป็นต้น

ตัวอย่างของการใช้ยาและสารเคมีอย่างผิดๆ เช่น การใช้น้ำยาปรับสภาพน้ำโดยที่ไม่ทราบองค์ประกอบ หรือคุณสมบัติ  โดยการหยดหรือเติมลงในน้ำทุกครั้งหลังการเปลี่ยนถ่ายน้ำ โดยที่ไม่ได้พิจารณาว่าจำเป็นหรือไม่ หากน้ำที่เปลี่ยนเป็นน้ำประปาที่สะอาดอยู่แล้ว การใส่สารเคมีลงไปก็นับเป็นการเติมสารพิษลงไปในน้ำ ทำให้สภาพแวดล้อมในการดำรงชีวิตของปลาแย่ลง หรือการใช้ยาที่กำหนดคุณสมบัติว่ารักษาได้ทั้งโรคจากปรสิต จากแบคทีเรีย จากเชื้อรา หรือประมาณว่า “รักษาได้ครอบคลุมทุกโรค” โดยใช้กับปลาที่อ่อนแอ โดยไม่ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคที่ถูกต้องจากสัตวแพทย์ ก็จัดเป็นวิธีที่ผิด เนื่องจากในความเป็นจริงแล้ว  “ไม่มียาในสัตว์น้ำชนิดใดที่มีคุณสมบัติครอบคลุมการรักษาโรคได้ทุกโรค” แน่ๆ การโฆษณาเกินจริงจะทำให้ผู้เลี้ยงใช้ยาหรือสารเคมีเกินจำเป็น และไม่ตรงกับโรคหรือความผิดปรกติของปลา ส่งผลให้การรักษาไม่ได้ผล สิ้นเปลือง และทำให้อาการของโรคพัฒนามากขึ้นและซับซ้อนขึ้น ซึ่งเมื่อทำการตรวจวินิจฉัยโรคในภายหลัง จะพบว่าปลาป่วยด้วยอาการหลายอย่างร่วมกัน รวมถึงเกิดภาวะเหงือกอักเสบขึ้น เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีทั้งสาเหตุจริงที่ก่อโรค และสาเหตุที่แทรกซ้อนและจากการใช้ยาผิดประเภทร่วมกัน ก็ยิ่งจะทำให้การรักษายากมากขึ้น

ตัวอย่างการใช้ยาและสารเคมีที่ไม่เหมาะสมที่พบบ่อยอีกอย่างคือ การใช้เกลือในปริมาณน้อยๆ เติมลงในน้ำ “ทุกครั้ง” ที่เปลี่ยนถ่ายน้ำ กรณีนี้ก็เช่นเดียวกันกรณีที่เติมสารปรับสภาพน้ำ
ต่างกันที่มีความระคายเคืองต่อเหงือกและผิวหนังปลาน้อยกว่า จะทำให้สังเกตเห็นการระคายเคืองได้ยากกว่าหรือไม่สามารถสังเกตพบได้ แต่ผลที่ตามมาจากการใช้เกลือต่อเนื่องตลอดเวลาจะทำให้ปลาและปรสิต (ที่อาจมีอยู่แล้วบนตัวปลา) ทนทานต่อระดับความเค็มของเกลือ ทำให้การรักษาโรคปรสิตทำได้ยากขึ้น

ข้อควรคำนึงและพึงระวังให้เสมอสำหรับการใช้สารเคมีในการเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ คือ “ใช้เมื่อจำเป็น” ไม่ใช้พร่ำเพรื่อตลอดเวลา เพราะถึงแม้สารเคมีนั้นจะปลอดภัยต่อปลา แต่ก็อาจส่งผลต่อสภาพแวดล้อมในตู้ปลาได้ เช่น เกลืออาจทำให้เชื้อบางชนิดเจริญเติบโตได้มากขึ้นเนื่องจากชอบสภาพแวดล้อมที่มีความเค็ม เป็นต้น

เราสามารถเลือกซื้อยาหรือสารเคมี ได้จากหลายแหล่งเช่น ตลาดนัด ร้านขายปลา ร้านขายยา ร้านขายเคมีภัณฑ์ ทั้งนี้ขึ้นกับชนิดของสารเคมีที่ต้องการ แต่สิ่งที่ต้องทราบก่อนจะเลือกซื้อยาหรือสารเคมีใดมาใช้คือ ปลาป่วยเป็นโรคอะไร มีความผิดปกติอะไร จำเป็นต้องใช้ยาหรือสารคมีชนิดใดในการรักษาหรือไม่ ความผิดปกตินานาประการของปลาอาจไม่จำเป็นต้องใช้ยาหรือสารเคมีใดๆ ในการรักษา ใช้เพียงแค่เวลาและการปรับสภาพแวดล้อมก็จะหายได้เอง

หากจำเป็นต้องใช้ยาและสารเคมี ก็ควรดูฉลาก กำกับยาว่า มีสารเคมีใดเป็นองค์ประกอบมีคุณสมบัติตามที่ต้องการหรือไม่ สีและลักษณะเนื้อยา องค์ประกอบที่สังเกตได้เป็นชนิดที่ตรงกับคุณสมบัติที่ระบุไว้หรือไม่ หากไม่ทราบก็ควรหาข้อมูลเบื้องต้นจากหนังสือหรือขอคำแนะนำจากสัตวแพทย์หรือนักวิชาการที่มีประสบการณ์ก่อน

ปัจจุบันยาและสารเคมีที่ผู้ขายระบุว่าใช้สำหรับปลานั้นมีมากมาย แต่มักจะไม่ระบุองค์ประกอบของยา หรือสารออกฤทธิ์ ผู้เลี้ยงทุกคนควรร่วมมือกัน “ปฏิเสธการเลือกซื้อยาที่ไม่มีรายละเอียดของตัวยาและส่วนประกอบเหล่านี้” รวมถึง “ยาหรือเคมีที่โฆษณาคุณประโยชน์เกินจริง”เพื่อไม่เป็นการส่งเสริมให้มีผู้ผลิต “ยาปลอม” สำหรับใช้ในปลาออกมาจำหน่ายในท้องตลาด ซึ่งจะส่งผลเสียแก่ผู้เลี้ยงปลาโดยตรงครับ

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร

ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร

คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Leave a comment