แตกใบอ่อน : แฟรนไชส์เกษตรกร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/313509

807934531

แตกใบอ่อน : แฟรนไชส์เกษตรกร

วันพฤหัสบดี ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

เปิดศักราชใหม่ปีพ.ศ.2561 มาได้เพียงสัปดาห์เดียว บรรดาผู้มีรายได้น้อยที่ได้ลงทะเบียนไว้กับโครงการสวัสดิการแห่งรัฐ ก็ได้เฮกันตั้งแต่ต้นปี เพราะเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีเพิ่งอนุมัติโครงการช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย เฟส 2 วงเงินสูงถึง 3.5 หมื่นล้านบาท โดยรอบนี้นอกจากจะมีการเพิ่มเงินช่วยเหลือและสวัสดิการต่างๆ แล้ว ยังมีเป้าหมายสำคัญ คือ การฝึกอบรมอาชีพให้ประชาชนที่มาลงทะเบียน เพื่อสร้างอาชีพและรายได้อย่างยั่งยืน ซึ่งคาดว่ารายละเอียด สื่อต่างๆ น่าจะมีการนำเสนอไปหมดแล้ว

ไม่ใช่ผู้มีรายได้น้อยเท่านั้นที่ได้เฮ ฝั่งของเกษตรกรเองเร็วๆ นี้ก็น่าจะมีข่าวดีเข้ามา เพราะในวันเดียวกับการประชุม ครม. อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า “กุลณี อิศดิศัย” ยังออกมาประกาศว่า กระทรวงพาณิชย์ เตรียมต่อยอดโครงการสวัสดิการแห่งรัฐเพื่อผู้มีรายได้น้อย โดยเฉพาะในส่วนการสร้างงานสร้างอาชีพให้กับเกษตรกร โดยกรมพัฒนาธุรกิจการค้าได้ร่วมมือกับ “ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร” (ธ.ก.ส.) ทำโครงการ “100 แฟรนไชส์สร้างอาชีพเพื่อเกษตรกร”

โดยจะสนับสนุนสินเชื่อแบบไม่คิดดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก แก่เกษตรกรที่ลงทะเบียนผ่านโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐทั่วประเทศ โดยเฉพาะเกษตรกรที่ต้องการเงินทุนมีอาชีพเสริมด้วยการซื้อและทำธุรกิจแฟรนไชส์

คุณกุลณีบอกว่า เบื้องต้นในเฟสแรก ธ.ก.ส. ได้เตรียมวงเงินสินเชื่อส่วนบุคคลรายย่อยแก่เกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการ เบ็ดเสร็จประมาณ 20,000 ล้านบาท โดยเวลานี้ ธ.ก.ส. กำลังอยู่ระหว่างกำหนดเงื่อนไขและรายละเอียดในการให้สินเชื่ออยู่ ซึ่งเกษตรกรจะสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนในครั้งนี้ได้ไม่ยาก รวมทั้งจะมีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจแฟรนไชส์นั้นๆ แก่เกษตรกร โดยเบื้องต้นคาดว่าจะสามารถสร้างอาชีพให้แก่เกษตรกรประมาณ 10,000 ราย และสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากได้ราว 1,000 ล้านบาท

ส่วนประเด็นสำคัญ คือ “ธุรกิจ” ที่จะมีการสนับสนุนนั้น อธิบดีกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ท่านแจงว่า กรมจะเป็นผู้คัดเลือกธุรกิจแฟรนไชส์
ให้ ธ.ก.ส. พิจารณาเข้าร่วมโครงการ โดยแฟรนไชส์ที่เข้าร่วมโครงการ จะเป็นแฟรนไชส์ที่มีขนาดไม่ใหญ่ ผ่านการพัฒนาจากกรมมาแล้วและเป็นธุรกิจง่ายๆ ที่เกษตรกรสามารถใช้ประกอบเป็นอาชีพได้ทันที เช่น อาหารและเครื่องดื่มประเภทต่างๆ เป็นต้น

ขณะที่ตัวของ “แฟรนไชส์” จะต้องเป็นพี่เลี้ยงให้กับเกษตรกรตลอดระยะเวลาที่ประกอบธุรกิจ ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงต่อความล้มเหลวในการประกอบธุรกิจได้

หากมองกันในภาพรวม ก็ต้องถือว่าโครงการนี้เป็นความพยายามสร้าง “โอกาส” ให้สามารถยืนอยู่ได้อย่างมั่นคง แต่ถ้าหากคิดให้ลึกลงไปอีกนิด ตัวผมเองก็ไม่กล้าจะฟันธงว่า“โอกาส” ที่ว่าจะกลายเป็นโอกาสที่ดีได้จริงหรือไม่ ซึ่งผมขอยกเหตุผลง่ายๆ สัก 2 ข้อ คือ

ประการแรก ต้องไม่ลืมว่า ชุมชนของเกษตรกรที่มีรายได้น้อยส่วนใหญ่จะเป็นสังคม “ชนบท” ที่กินง่าย อยู่ง่าย เสียเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ธุรกิจ “แฟรนไชส์” จำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะหากจะยึดตามที่ท่านอธิบดีกุลณียกตัวอย่าง คือ ธุรกิจด้านอาหารหรือเครื่องดื่ม จะว่าไป มันก็ไม่ต่างไปจากสินค้าฟุ่มเฟือย ซึ่งการจะค้าขายให้มีกำไรจนสามารถยืนอยู่ได้ จำเป็นต้องไปเปิดในทำเลที่ตั้งที่เป็นชุมชนขนาดใหญ่ หรือชุมชนเมือง เช่น ตามตลาด ศูนย์อาหาร หน้าโรงเรียน ดังนั้นความเป็นไปได้ที่จะเปิดร้านค้าในชุมชนแล้วสร้างให้มีกำไร จึงเป็นไปค่อนข้างยาก แต่หากจะมุ่งไปเปิดร้านในชุมชนใหญ่ๆ หรือในเมือง ก็ต้องคิดถึงต้นทุนเรื่องการเดินทาง และการบริหารจัดการอื่นๆ ที่จะต้องตามมาอีกมาก

ประการต่อมา ต้องไม่ลืมเช่นกันว่า ปัจจุบันลำพังคนทั่วไปก็มีการซื้อแฟรนไชส์ธุรกิจต่างๆ มาเปิดขายกันเกลื่อนอยู่แล้ว ไม่ว่า ขนมจีบ ชา กาแฟ ไอศกรีม หรืออาหาร เครื่องดื่มต่างๆ ซึ่งถ้าให้เกษตรกรมาเปิดร้านแข่งอีก มันไม่ต้องแย่งกันตายเลยหรือ ที่สำคัญปัจจุบันใครไม่รู้จะทำอะไร ก็พากันออกมาหาของมาขาย จนแทบจะมีแต่คนขาย แต่ไม่มีคนซื้ออยู่แล้ว ไม่เชื่อก็ลองไปเดินดูตามตลาดนัดหลายๆ แห่งดูได้

เรื่องนี้จึงต้องขอฝากเอาไว้ครับ ไม่ใช่ว่าอยากขวางไม่ให้ทำ แต่ทำแล้วต้องรอบคอบ และเกษตรกรต้องอยู่ได้จริงๆ เพราะถ้าอยู่ไม่ได้ คนที่ต้องใช้หนี้กันหัวโตก็ไม่ใช่ใคร แต่เป็นเกษตรกรนั่นแหละที่จะซวย

มะลิลา

Leave a comment