แตกใบอ่อน : ปัญหาที่ถูกมองข้าม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/314926

807934531

แตกใบอ่อน : ปัญหาที่ถูกมองข้าม

วันพฤหัสบดี ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา “กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้” ได้เริ่มต้นเปิดการแสดงนิทรรศการศิลปะเรื่อง “Right to Clean Air- The Art Exhibition ขออากาศดีคืนมา” โดยจัดแสดงผลงานศิลปะที่สร้างสรรค์ขึ้นมาจากฝุ่น ซึ่งรวบรวมมาจากจังหวัดต่างๆที่ประสบปัญหามลพิษทางอากาศในประเทศไทย รังสรรค์โดยศิลปิน “เรืองศักดิ์ อนุวัตรวิมล” เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวเกี่ยวกับวิกฤติมลพิษทางอากาศของไทย ซึ่งเปรียบเสมือน “ภัยเงียบ” ที่กำลังคุกคามชีวิตเราทุกคนอยู่ในเวลานี้ โดยที่เราแทบไม่รู้ตัว หรือแทบไม่ได้เอาใจใส่กับความร้ายแรงที่กำลังเกิดขึ้นเลย

ภายในงานนอกจากจะจัดแสดงศิลปะแล้ว ยังมีการจัดเวทีเสวนาประเด็นปัญหาต่างๆ โดยในวันเปิดงานเมื่อวันอังคารที่ 16 มกราคมที่ผ่านมา มีการเสวนาเรื่อง “วิเคราะห์สถานการณ์มลพิษฝุ่นละออก PM 2.5 ปี พ.ศ.2560 ในเมืองต่างๆ ของไทย” ซึ่งมีการนำเสนอข้อมูลที่น่าสนใจและค่อนข้างน่าวิตกมากสำหรับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็กในหลายพื้นที่ของไทย

โดย “จริยา เสนพงศ์” ผู้ประสานงานด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน “อากาศ” ที่ทุกคนหายใจเข้าไปเต็มไปด้วยฝุ่นที่มีสารพิษที่มองไม่เห็นซ่อนอยู่ หนึ่งในนั้น คือ PM 2.5 หรือ “ฝุ่นละออง” ขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน เป็นฝุ่นอันตรายที่มีองค์ประกอบทางเคมี อย่างปรอท แคดเมียม อาร์เซนิก หรือ โพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน ซึ่งองค์การอนามัยโลก หรือ WHO ได้กำหนดให้ PM 2.5 นี้เป็นสารกลุ่มที่ 1 ของสารก่อมะเร็งในปี 2556

ทั้งนี้สำหรับฝุ่นทั่วไปที่มีขนาดใหญ่กว่า 2.5 ไมครอน เมื่อเราสูดเข้าไป จะไปติดอยู่ในปอดและถูกขับออกมาเป็นเสมหะ แต่สำหรับเจ้า PM 2.5 นี้ กลับมีขนาดเล็กเพียงแค่ 1 ต่อ 25 ส่วนของความกว้างเส้นผม สามารถเล็ดลอดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่กระแสเลือดได้ เมื่อเข้าไปสะสมในร่างกายนานๆ ก็จะเพิ่มโอกาสการเกิดโรค เช่น โรคหลอดเลือดสมอง โรคมะเร็งปอด โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง โรคหัวใจขาดเลือด และโรคติดเชื้อเฉียบพลันในระบบหายใจส่วนล่าง ทำให้เกิดการเสียชีวิตก่อนวัยอันควรของคนไทยราว 50,000 คนต่อปี

ส่วนแหล่งกำเนิดของเจ้าฝุ่นชนิดนี้ ก็มาจากกิจกรรมรอบๆ ตัวเรา เช่น การเผาในที่โล่งร้อยละ 54, อุตสาหกรรมการผลิต ร้อยละ 17, การคมนาคมขนส่ง ร้อยละ 13, การผลิตไฟฟ้า ร้อยละ 9 และการประกอบกิจกรรมในที่อยู่อาศัยหรือธุรกิจการค้า ร้อยละ 7 เป็นต้น

โดยเมื่อปี 2560 ที่ผ่านมา ระดับมลพิษในอากาศที่บันทึกโดยสถานีตรวจวัด 19 แห่งใน 14 พื้นที่ทั่วประเทศพบว่า เกินค่ามลพิษจำกัดสูงสุดรายปีของ WHO คือ 10 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตรทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น 9 จาก 14 พื้นที่ยังมีค่ามลพิษเกินมาตรฐานคุณภาพอากาศรายปีของประเทศไทย ซึ่งกำหนดไว้ที่ 25 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

โดยพื้นที่ที่มีระดับค่าเฉลี่ยของฝุ่น PM 2.5 ตลอดทั้งปีสูงที่สุดคือ จ.สระบุรี วัดได้ 36 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร และเขตธนบุรี กทม. ที่ 31 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ซึ่งสูงกว่าค่ามลพิษจำกัดสูงสุดของ WHO ถึงสามเท่า ส่วนพื้นที่อื่นๆ ที่อยู่ในเกณฑ์เสี่ยง ได้แก่ สมุทรสาคร ราชบุรี ขอนแก่น และเชียงใหม่ ซึ่งปรากฏค่ามลพิษในระดับสูงถึงระหว่าง 25-30 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร

คุณจริยา ทิ้งท้ายว่า แม้สถานการณ์จะรุนแรง แต่ปรากฏว่าปัจจุบันปัญหาที่เกิดขึ้นยังถูก “เพิกเฉย” และ “ละเลย” จากประชาชนผู้ได้รับผลกระทบรวมทั้งรัฐบาล ดังนั้นเพื่อป้องกันการลุกลามของสถานการณ์จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่รัฐบาลโดยเฉพาะ “กรมควบคุมมลพิษ” เพิ่มความเข้มข้นในการติดตามตรวจสอบฝุ่นมลพิษ PM2.5 และนำมาคำนวณดัชนีคุณภาพอากาศ เพื่อปกป้องคุ้มครองสุขภาพของประชาชนทุกคน

ทิ้งท้ายเอาไว้ก่อนจากกันสัปดาห์นี้ หากผู้อ่านท่านใดสนใจจะไปชมงานนิทรรศการ “Right to Clean Air – The Art Exhibition ขออากาศดีคืนมา” ยังสามารถไปชมได้จนถึงวันที่ 28 มกราคม ที่ชั้น 1 หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร ซึ่งนอกจากการจัดแสดงงานศิลปะ และเวทีเสวนาแล้ว ยังมีกิจกรรมความรู้อื่นๆ อีกมากมาย ถ้าใครว่างหรือสนใจแนะนำให้ลองแวะไปดูกันได้ครับ

มะลิลา

Leave a comment