ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/324693

กรมชลฯสนองแนวพระราชดำริ ฟื้นฟูป่าชายเลนแหลมผักเบี้ย200ไร่
กรมชลฯสนองแนวพระราชดำริ ฟื้นฟูป่าชายเลนแหลมผักเบี้ย200ไร่ สร้างระบบบำบัดน้ำเสีย ระบบกำจัดขยะมูลฝอย ปรับปรุงพื้นที่เสื่อมโทรม เป็นโมเดลขยายผลชายฝั่งทะเลไทย กลับคืนสภาพเป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์
5 มี.ค.61 นายทองเปลว กองจันทร์ อธิบดีกรมชลประทาน เปิดเผยว่า การขยายผลโครงการศึกษาวิจัยและพัฒนาสิ่งแวดล้อมแหลมผักเบี้ย อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี เป็นโครงการที่กรมชลประทานได้สนองพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถรบพิตร โดยร่วมมือกับสำนักงานมูลนิธิชัยพัฒนาและสำนักงาน กปร.จัดทำโครงการแบบการศึกษาวิจัยและพัฒนาฟื้นฟูสภาพป่าชายเลน จากสภาพพื้นที่จริงเพื่อเป็นต้นแบบให้กับพื้นที่อื่นๆ แบ่งเป็น 4 โครงการย่อย ได้แก่ การบำบัดน้ำเสียจากชุมชน , การกำจัดขยะชุมชนโดยวิธีฝังกลบด้วยดินอย่างถูกสุขาภิบาลซึ่งใช้เทคโนโลยีที่เหมาะสม , การนำผลพลอยได้จากการกำจัดขยะมาใช้ประโยชน์ และการนำน้ำที่ได้รับการบำบัดดีแล้วไปใช้ประโยชน์เพื่อการเกษตร
อธิบดีกรมชลประทาน กล่าวว่า ได้ทำการสำรวจออกแบบและก่อสร้างโครงการฯ โดยตระหนักถึงหลักการอนุรักษ์ทรัพยากรและสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ ใช้พื้นที่เสื่อมโทรมของแหลมผักเบี้ย ประมาณ 200 ไร่ สำหรับสร้างระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบกำจัดขยะมูลฝอย ทำการปรับปรุงพื้นที่เสื่อมโทรมให้มีสภาพเป็นป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์
“ได้สนองพระราชดำริด้วยการร่วมพิจารณาวางแผนการดำเนินงาน และรับผิดชอบออกแบบก่อสร้างและบำรุงรักษาโครงการฯ มีการก่อสร้างบ่อรวมน้ำเสีย ความจุ 10,000 ลูกบาศก์เมตร พร้อมสถานีสูบน้ำและท่อส่งน้ำเสีย ระยะทางยาว 18 กิโลเมตร สามารถส่งน้ำได้สูงสุดวันละ 10,000 ลูกบาศก์เมตร ปัจจุบันส่งน้ำวันละ 5,000 ลูกบาศก์เมตร สำหรับบ่อบัดน้ำเสีย (Lagoon Treatment) สามารถบำบัดน้ำเสียได้วันละ 10,000 ลูกบาศก์เมตร
นอกจากนี้ ยังได้ดำเนินการก่อสร้างระบบบำบัดน้ำเสียรูปแบบอื่นๆ เพื่อทำการทดลองศึกษาวิจัยพัฒนารูปแบบของระบบตามที่คณะวิจัยจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต้องการ โดยวิศวกรจากกรมชลประทานร่วมพิจารณาออกแบบและดำเนินการก่อสร้าง พร้อมกับการเก็บข้อมูลผลการศึกษาจากระบบต่างๆ ที่ได้จัดทำขึ้น มีการปรับปรุงประสิทธิภาพและบำรุงรักษาระบบบำบัดต่างๆ และดำเนินการก่อสร้างงานในโครงการฯ เพิ่มเติม จนถึงปัจจุบันคณะวิจัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ได้เข้ามาดำเนินการบริหารงานและทำงานวิจัยต่างๆ ส่วนกรมชลประทานได้รับมอบหมายให้ดูแลและบำรุงรักษาระบบำบัดให้ใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพ” นายทองเปลว กล่าว