ส่องเกษตร : ไม่ไว้วางใจ…คดีเจ้าสัวล่าเสือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/324959

449007

ส่องเกษตร : ไม่ไว้วางใจ…คดีเจ้าสัวล่าเสือ

วันพุธ ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

กลายเป็น “ความรู้สึกร่วม” มากขึ้นทุกขณะ ที่เสื่อมความเชื่อถือต่อการทำคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในคดี“เจ้าสัว”พรานบรรดาศักดิ์ล่า-ฆ่าเสือดำและสัตว์อื่นๆในป่าทุ่งใหญ่นเรศวร พร้อมๆกับการปักใจเชื่อมากขึ้นทุกขณะเช่นกันว่า เห็นทีคดีนี้ จะจบลงที่การ “ลอยนวล” ของคนรวย เหมือนเช่นหลายๆ คดีที่ผ่านมาเป็นแน่แท้

การแสดงความข้องใจของสังคมโดยกลุ่มต่างๆมีออกมามากมายในโลกโซเชียลมีเดียซึ่งมีทั้งนักวิชาการ คนดังวงการต่างๆจนถึงเหล่าศิลปินดารา ด้วยเห็นว่า ภารกิจหลักอยู่ที่คดีใหญ่ “ล่าสัตว์ ฆ่าสัตว์ป่าสงวน” ยังอืดอาดล่าช้า แต่กลับไปมุ่งประเด็นอื่นๆที่สร้างความสับสนและยิ่งสร้างความสงสัยให้สังคมว่า กำลังมีการเบี่ยงเบนประเด็นหรือเปล่า เมื่อเกิดการกระทำในลักษณะเหมือนเป็นการกดดันเจ้าหน้าที่เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าทุ่งใหญ่นเรศวร ผู้ทำหน้าที่จับกุมครั้งนี้ ตลอดจนการลงโทษภาคทัณฑ์ร้อยเวร สภ.ทองผาภูมิ หาว่าบกพร่องต่อหน้าที่ในการรับแจ้งความคดีนี้ เป็นต้น

จนทำให้ภาคประชาสังคมต่างๆออกมาเคลื่อนไหวกดดัน-ทวงถามคดี ไม่ว่านิสิตคณะวนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ว่าที่บัณฑิตในอนาคตที่จะต้องออกไปทำงานรักษาผืนป่าและสัตว์ป่าของประเทศไทย,การเคลื่อนไหวของกลุ่ม“T’challa”นัดรวมพลคนพันธุ์เสือดำ ใส่หน้ากากเสือดำประท้วงกันกลางกรุงโดยมี“ทิชา ณ นคร” อดีตสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ร่วมด้วย ฯลฯ

และล่าสุดการออกโรงอีกครั้งของมูลนิธิ “สืบนาคะเสถียร” โดย “ศศิน เฉลิมลาภ” เพื่อทวงถามความคืบหน้าคดี หลังจากผ่านมาครบ 1 เดือนแล้ว แต่การสอบสวนเพื่อดำเนินคดีต่อนายเปรมชัย กรรณสูต ประธานบริษัทอิตาเลียนไทยฯกับพวกกลับดำเนินไปด้วยความล่าช้าในสายตาของสาธารณชน

คำแถลงของมูลนิธิสืบ ระบุว่า 1.เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดี ที่มีข้อเท็จจริงว่า นายเปรมชัยกับพวกลักลอบนำอาวุธปืนซุกซ่อนไว้ในรถก่อนขออนุญาตเข้าไปในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าตั้งแต่แรกแล้ว ซึ่งมีการเข้าไปตั้งแคมป์ในเส้นทางและบริเวณพื้นที่ที่ไม่อนุญาต ซึ่งเป็นบริเวณที่สงวนไว้สำหรับการอยู่อาศัยและหากินของสัตว์ป่าตามธรรมชาติเท่านั้น แสดงให้เห็นว่า อาจมีเจตนาเข้าไปเพื่อล่าสัตว์ป่าตั้งแต่แรกหรือไม่ ประกอบกับเสียงปืนดังมาจากบริเวณที่ไม่อนุญาต จึงมีเพียงกลุ่มของนายเปรมชัยเท่านั้นที่เข้ามาพร้อมอาวุธปืน รวมถึงซากสัตว์ป่าและร่องรอยกระสุนบนซากสัตว์ป่าที่ตรวจพบ ล้วนเป็นพยานวัตถุสำคัญที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ และชัดเจนยิ่งว่าได้ร่วมกันกระทำความผิดสำเร็จฐานล่าสัตว์ป่าคุ้มครองภายในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า

2.จากพฤติการณ์แห่งคดีและพยานหลักฐานเห็นได้ชัดว่า ไม่ใช่คดีที่ซับซ้อน จึงขอให้ตำรวจ เร่งรัดดำเนินการเพื่อสรุปสำนวน พร้อมความเห็นไปยังอัยการและส่งฟ้องศาลอย่างรวดเร็ว และอย่าพยายามเบี่ยงเบนประเด็นการสอบสวนโดยการมุ่งไปสู่การ
เสาะหาพยานวัตถุที่อาจเปลี่ยนแปลงได้

3.ขอให้กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ และรัฐบาล เร่งรัดติดตามคดีนี้อย่างใกล้ชิด และขอให้กรมอุทยานฯตรวจสอบสำนวนคดีในชั้นอัยการอย่างรอบคอบก่อนส่งฟ้องศาล เพื่อป้องกันความคลาดเคลื่อนไปจากพฤติการณ์แห่งคดีที่ปรากฏชัดแจ้งนี้

4.ขอให้รัฐบาลหน่วยงานของภาครัฐออกมายืนเคียงข้างประชาชน เพื่อสนับสนุนกิจกรรมทางอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และร่วมกันประณามผู้ที่มีเจตนาทำร้ายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเพื่อให้เกิดตัวอย่างที่ดีให้แก่สังคมต่อไปในอนาคต

“ขอประกาศว่า หากในสำนวนคดีที่ตำรวจส่งฟ้องศาลไม่มีข้อหาเจตนาฆ่าล่าสัตว์ป่า เราคิดว่า เราไม่จำเป็นต้องนัดกับใครให้ออกมาเรียกร้องเรื่องนี้ เพราะพวกเราไม่ยอม นั่นหมายความว่า จะเกิดปรากฏการณ์ เป่านกหวีด ประชาชนจะออกมาเดินกลางถนนอีกครั้งหนึ่งเองอย่างแน่นอน” นายศศิน กล่าวในตอนท้าย

ผมคงไม่ต้องขยายความอะไรมากนัก แค่ขอย้ำว่า แม้มีโอกาสน้อยที่ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยเหมือนปี 2516 ที่คดีล่า-ฆ่าสัตว์ป่าป่าทุ่งใหญ่นเรศวรโดยกลุ่ม “อภิสิทธิ์ชน”คนมีอำนาจอิทธิพล เคยเป็นชนวนสำคัญหนึ่งที่พัฒนาสู่การโค่นล้มรัฐบาลเผด็จการทหารด้วยน้ำมือประชาชนในเหตุการณ์ 14 ตุลาฯมาแล้ว แต่รัฐบาลคสช.ก็อย่าได้ประมาทไปกับคดีแบบเดียวกันนี้ในปี 2561 นี้ เพราะพลังประชาชนที่รักในความถูกต้อง หวงแหนชีวิตสัตว์ป่าและทรัพยากรธรรมชาตินั้น ดูถูกไม่ได้เลย ไม่งั้นอาจจะต้องเสียใจเมื่อสายเกินไป….เดี่ยวจะหาว่าไม่เตือน

สาโรช บุญแสง

Leave a comment