ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/326483

ส่องเกษตร : เร่งแก้โรคพิษสุนัขบ้าระบาด
กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศว่า ประเทศไทยเข้าสู่ฤดูร้อนเป็นทางการแล้ว ตั้งแต่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่หน้าร้อนปีนี้ ดูเหมือนโรคพิษสุนัขบ้าจะกลับมาเป็นเรื่องร้อนที่น่าห่วงมากอีกครั้ง เมื่อกรมปศุสัตว์ได้ประกาศให้ 13 จังหวัดเป็นพื้นที่สีแดง“เขตโรคระบาดพิษสุนัขบ้า” พร้อมกับอีก 42 จังหวัดเป็นพื้นที่สีเหลือง “เขตเฝ้าระวังโรคพิษสุนัขบ้า” หลังจากแค่ 2 เดือนแรกปีนี้ก็มีคนเสียชีวิตแล้ว 3 คนจากโรคพิษสุนัขบ้า ขณะที่ตรวจพบสัตว์ติดเชื้อพิษสุนัขบ้าสูงกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 1.5 เท่า
ลงรายละเอียดสักนิด 13 จังหวัดที่ถูกประกาศเป็นพื้นที่สีแดง “เขตโรคระบาดพิษสุนัขบ้า” ประกอบด้วย จ.สุรินทร์,จ.ร้อยเอ็ด,จ.บุรีรัมย์,จ.อุบลราชธานี,จ.ศรีสะเกษ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรืออีสาน จ.ชลบุรี,จ.ฉะเชิงเทรา,จ.ระยอง ในภาคตะวันออก จ.น่าน,จ.เชียงราย,จ.ตาก ในภาคเหนือ จ.สมุทรปราการในภาคกลาง และ จ.สงขลา ในภาคใต้…มีครบทุกภาคเลยทีเดียว
ส่วนสถานการณ์ที่น่าห่วงเนื่องจากยังตรวจพบสุนัขที่สงสัยเป็นโรคพิษสุนัขบ้าอย่างต่อเนื่อง โดยกรมปศุสัตว์รายงานว่า เพียง 2 เดือนปีนี้นอกจากคนเสียชีวิตแล้ว 3 ราย ยังตรวจพบสัตว์ติดเชื้อพิษสุนัขบ้า 251 ตัว สูงกว่าช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาถึง 1.5 เท่า โดยกว่า 90% ที่ติดเชื้อคือ สุนัข นอกนั้นยังพบในแมวและโค ซึ่งโคที่ติดเชื้อก็เพิ่มขึ้นจากปีก่อน
นายสัตวแพทย์จีระศักดิ์ พิพัฒนพงศ์โสภณ รองอธิบดีกรมปศุสัตว์ระบุว่า ปัญหาที่ทำให้โรคพิษสุนัขบ้าระบาด คือ เจ้าของไม่นำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนป้องกัน, ปล่อยสัตว์เลี้ยงไปนอกบ้านเสี่ยงถูกกัดจากสัตว์ที่มีเชื้อ ที่สำคัญยังขาดความตระหนักถึงการป้องกัน จึงขอความร่วมมือเจ้าของรีบนำสัตว์เลี้ยงไปฉีดวัคซีนให้เร็วที่สุด ทั้งนี้ ในเดือนเม.ย.นี้จะเร่งประชาสัมพันธ์เข้มข้น เพื่อสร้างการตระหนักรับรู้ และจะเริ่มต้นการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างจริงจังตั้งแต่เดือนพ.ค.นี้
“การดําเนินการดังกล่าว จําเป็นต้องอาศัยความร่วมมือทุกภาคส่วน โดยเฉพาะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่ต้องเร่งสํารวจ ขึ้นทะเบียนสุนัขและแมว,เร่งรัดจัดซื้อวัคซีนป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าที่มีคุณภาพ ให้สอดคล้องกับจํานวนสุนัขและแมวที่มีอยู่ในพื้นที่“
ขณะเดียวก็มีรายงานข่าวว่า การที่โรคสุนัขบ้ากลับมาระบาดพุ่งสูง สาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งเป็นเพราะองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ไม่สามารถดำเนินการฉีดวัคซีนให้สุนัขและแมวในพื้นที่ของตัวเองได้ครบถ้วนเต็มประสิทธิภาพ เพราะถูกสตง.-สำนักงานตรวจเงินแผ่นดินทักท้วงว่า ไม่ใช่ภารกิจของท้องถิ่น หากดำเนินการจะขัดต่อกฎหมาย จึงส่งผลให้อปท.ระงับการซื้อวัคซีนไป
อย่างไรก็ตาม ทั้งกรมควบคุมโรคและกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นต่างยืนยันว่า ได้เคลียร์กับสตง.แล้ว เพราะเป็นปัญหามาหลายปี ซึ่งในปีนี้สำนักนายกรัฐมนตรี และกระทรวงมหาดไทย ได้ผลักดันจนมีประกาศให้ท้องถิ่นสามารถซื้อวัคซีนมาฉีดให้สุนัข ป้องกันโรคพิษสุนัขบ้าได้ เพราะความปลอดภัยในชีวิตเป็นเรื่องสำคัญ จำเป็นต้องเน้นให้ทุกภาคส่วนช่วยกันขจัดโรคพิษสุนัขบ้าให้หมดไป
ขณะที่อดีต ผู้ว่าฯ สตง.-พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ยอมรับว่า สตง.เคยตรวจสอบการใช้งบฯของอปท.ในการจัดซื้อวัคซีนโรคพิษสุนัขบ้าแทบทุกจังหวัด เพราะจากการสุ่มตรวจช่วงโรคระบาดหรือ ฤดูร้อน พบปัญหาท้องถิ่นมักจัดซื้อวัคซีนจำนวนมาก แต่กลับไร้คุณภาพ ราคาแพงหลายเท่าตัว เพราะซื้อจากผู้ค้าในท้องถิ่น ไม่ใช่จากบริษัทยาโดยตรง ทำให้วัคซีนใช้ไม่หมด ไม่มีที่จัดเก็บและเสื่อมคุณภาพในที่สุด ส่งผลให้ สตง.ต้องท้วงติงการใช้งบฯเกินความจำเป็น แต่หากกรมปศุสัตว์ประกาศเป็นเขตโรคระบาด ท้องถิ่นก็สามารถจัดซื้อวัคซีนได้ตามความเหมาะสม
“สิ่งที่น่ากังวลจากการตรวจสอบ สตง.ยังพบว่า บางจังหวัดขาดบุคลากรที่มีความรู้ ทำให้ซื้อวัคซีนผิด หรือซื้อน้ำเกลือมาฉีดให้สุนัขก็มี”
เป็นอันว่าในปีนี้ ท้องถิ่นน่าจะสามารถจัดซื้อวัคซีนมาฉีดให้สัตว์เลี้ยง เพื่อแก้ไขการระบาดของโรคพิษสุนัขบ้าให้ได้ทันท่วงทีมากขึ้น เพียงแต่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ควรตรวจสอบการจัดซื้อให้เกิดความโปร่งใส ส่วนกรมปศุสัตว์ก็ควรเข้าไปให้ข้อแนะนำ เป็นที่ปรึกษาเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการฉีดวัคซีนได้จริงๆ
ที่จริงยังมีนโยบายของรมว.เกษตรฯกฤษฎา บุญราช ที่ต้องการให้อปท.มีส่วนร่วมแก้ปัญหาราคายางพาราตกต่ำ แต่ผมได้ข่าวมาว่า อาจติดขัดเรื่องที่สตง.คุมเข้มการใช้งบฯอปท.ในทำนองคล้ายๆกับวัคซีนพิษสุนัขบ้านี้เหมือนกัน…เรื่องเป็นอย่างไร คงต้องยกยอดไปว่ากันโอกาสหน้า เพราะเนื้อที่สัมปทานตอนนี้ หมดแค่นี้ ก็ต้องขอจบห้วนๆแบบนี้ไปก่อน
สาโรช บุญแสง