ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/330971

ส่องเกษตร : ถึงเวลา‘เอาจริง’ล้างโกง
ข่าวอธิบดีกรมชลประทาน-ทองเปลว กองจันทร์ มีคำสั่งย้ายด่วนนายเทิดพงษ์ ไทยอุดม ผอ.โครงการชลประทานนครราชสีมา พร้อม 2 เจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องออกนอกพื้นที่ไปประจำสำนักชลประทานที่ 8 ตั้งแต่วันที่ 30 มี.ค.เป็นต้นไป และตั้งคณะกรรมการสอบสวนเอาผิดทั้งทางวินัยและอาญานั้น นับเป็นการเคลื่อนไหวที่น่าสนใจให้ต้องจับตาใกล้ชิด ในการตอบสนองนโยบายรัฐบาลที่กำลังเพิ่มความเข้มข้นในการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่น หลังจากที่มีปัญหาการโกงกินเกิดขึ้นเรียกได้ว่า“ทุกหย่อมหญ้า” จนกลายเป็นประเด็นร้อนแรงต่อเนื่องมาหลายเดือนติดต่อกันแล้ว
ไม่ว่าคดีทุจริต “เงินทอนวัด” ที่เจ้าหน้าที่ระดับสูงกรมการศาสนาใช้โมเดลเดียวกันกับหลายสิบวัดทั่วประเทศ, คดีโกงเงินคนยากไร้ คนไร้ที่พึ่ง ผู้ติดเชื้อเอดส์ที่ลุกลาม ตรวจสอบพบการทุจริตของศูนย์สงเคราะห์ต่างๆ ในสังกัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์กว่า 50 จังหวัดทั่วประเทศ หรือคดีโกงเงินทุนการศึกษา“กองทุนเสมาพัฒนาชีวิต” ของกระทรวงศึกษาธิการที่ทำมายาวนานเป็น 10 ปี สร้างความเดือดร้อนให้นักเรียนทุนหลายพื้นที่ จนอนาคตการศึกษาได้รับความเสียหายมาก ฯลฯ
หลายคดีทุจริตอื้อฉาวเหล่านี้ ถูกเปิดโปง ตรวจสอบ จับกุมติดๆ กัน มีครอบข่ายการโกงกินเป็นขบวนการกระจายทั่วประเทศ ทั้งดำเนินการกันอย่างต่อเนื่องยาวนาน แต่ว่ากันว่านั่นเป็นแค่เพียง“ยอดภูเขาน้ำแข็ง”เท่านั้น สิ่งที่ยังถูกปกปิดดังภูเขาทั้งลูกที่อยู่ใต้ทะเล ก็คือ การทุจริตคอร์รัปชั่นอีกมากมาย ในกระทรวงต่างๆที่ถูกฝังรากลึกมายาวนาน… รวมถึงในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เองด้วย
เป็นสาเหตุสำคัญทำให้งบประมาณพัฒนาประเทศและงบประมาณการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อนลำเค็ญต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นพี่น้องเกษตรกร ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ เกิดการรั่วไหลงบประมาณอย่างมโหฬาร ความเดือดร้อนต่างๆจึงไม่ได้รับการบำบัดแก้ไขอย่างมีประสิทธิภาพพอ จนปัญหาหมักหมม ความทุกข์ยาก ความยากจนเรื้อรังดังทุกวันนี้
เริ่มแรกของการเข้ายึดอำนาจรัฐ บริหารประเทศของรัฐบาล คสช.ได้สร้างจุดแข็งที่ทำให้ประชาชนจำนวนมากศรัทธาให้การสนับสนุน นั่นก็คือ ท่าทีเอาจริงเอาจังปราบปราม เอาผิดคอร์รัปชั่นรายใหญ่ๆโดยเฉพาะคดีค้างคาที่มีนักการเมือง อดีตรัฐบาลผู้บริหารประเทศได้ก่อความเสียหายต่อประเทศชาติไว้มโหฬาร ดังเช่นคดีทุจริตจำนำข้าวที่เงินหลวงเสียหายไปหลายแสนล้านบาท
ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาก็สร้างกลไกศูนย์อำนวยการต่อต้านทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) บูรณาการการทำงานทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการปราบปรามทุจริตให้ได้ผลยิ่งขึ้น รวมถึงใช้ดาบอาญาสิทธิ์“มาตรา 44” เป็นเครื่องมือโยกย้ายข้าราชการที่ต้องข้อกล่าวหาพัวพันคดีโกงกินต่างๆเป็นจำนวนมาก ทั้งเคยออกมติครม.สั่งให้หัวหน้าทุกหน่วยราชการเอาจริง จัดการปัญหาทุจริตในองค์กรของตน ฯลฯ จนปีแรกๆ ของรัฐบาล คสช. ปัญหาคอร์รัปชั่นเหมือนจะชะงักไป
แต่“เชื้อชั่ว”กลับไม่มีวันตาย เมื่อกลไกอย่าง ศอตช.เริ่มเฉื่อยลง คอร์รัปชั่นก็กลับมาแพร่ระบาด เป็นข่าวฉาวกระฉ่อน บั่นทอนคะแนนนิยมรัฐบาล จนล่าสุดการประชุมครม.สัปดาห์ที่แล้ว คสช.ก็ได้ชงมาตรการให้ครม.มีมติเพิ่มความเข้มข้นปราบปราบทุจริต โดยสั่งให้ทุกหน่วยราชการ“เอาจริง”จัดการปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมอีกครั้ง เช่น ถ้าเกิดการร้องเรียนทุจริตขึ้น ภายใน 7 วันต้องเร่งตั้งกรรมการสอบและให้สอบภายใน 30 วัน ถ้าผลสอบเบื้องต้นน่าเชื่อว่ามีการทุจริต ก็ให้ย้ายผู้เกี่ยวข้องออกจากตำแหน่ง เพื่อสอบสวนเอาผิดทางวินัยและอาญาต่อไป และภายใน 3 ปีห้ามย้ายกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม รวมถึงห้ามย้ายให้มีตำแหน่งที่สูงขึ้น เป็นต้น
หลายกระทรวงที่“แอ๊กทีฟ”เช่น กระทรวงศึกษาธิการที่มีคดีโกงเกิดขึ้นมากมาย ได้เอาจริงให้เห็นเป็นตัวอย่าง ขณะที่กระทรวงเกษตรฯก็ประเดิมโดยกรมชลประทาน ทำตามมติครม.ในคดี ผอ.โครงการชลประทานนครราชสีมาที่ถูกกล่าวหา“ส่อทุจริต”ในการขุดลอกพื้นที่ “แก้มลิง” 3 อำเภอ ซึ่งผลสอบเบื้องต้นพบ ไม่มีการขุดลอกจริง จึงถูกสั่งย้ายด่วน พร้อมตั้งคณะกรรมการสอบเอาผิดต่อไป
ในกระทรวงเกษตรฯยังมีเรื่องราวไม่ชอบมาพากล“ส่อทุจริต”อีกมากมายที่ถูกหมกไว้อยู่ จึงถึงเวลาที่จะต้องเอาจริงกันเสียที แต่ก็หวังว่า จะไม่ใช่แค่“ไฟไหม้ฟาง” สนองนโยบายไปตามสถานการณ์พอเนิ่นนานไป ก็กลับไปเหมือนเดิมอีก ดังเช่นหลายๆ เรื่องที่เคยเป็นมาตลอด
ขณะเดียวกันก็หวังด้วยว่า ผู้มีอำนาจจะไม่ฉวยโอกาสนี้ ใช้เป็นข้ออ้าง “เขี่ย”หรือ “เลื่อยเก้าอี้” ผู้บริหารที่ถูกเขม่นอยู่ ดังที่เคยทำๆ กันมาเช่นกัน
สาโรช บุญแสง