รายงานพิเศษ : กรมส่งเสริมสหกรณ์จับมือกระทรวงพาณิชย์ ดันตลาดข้าว‘กข 43’เข้าห้างโมเดิร์นเทรด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/333880

รายงานพิเศษ : กรมส่งเสริมสหกรณ์จับมือกระทรวงพาณิชย์  ดันตลาดข้าว‘กข 43’เข้าห้างโมเดิร์นเทรด

รายงานพิเศษ : กรมส่งเสริมสหกรณ์จับมือกระทรวงพาณิชย์ ดันตลาดข้าว‘กข 43’เข้าห้างโมเดิร์นเทรด

วันศุกร์ ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

กรมส่งเสริมสหกรณ์ จับมือกระทรวงพาณิชย์ขยายตลาดข้าว กข 43 ของสหกรณ์ วางแผนจำหน่ายตามห้างโมเดิร์นเทรด ร้านสหกรณ์ในมหาวิทยาลัยและร้านสหกรณ์ในโรงพยาบาล รวมถึงศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ทั่วประเทศ หลังกระแสตอบรับจากผู้บริโภคชื่นชอบรสชาติอร่อย เหนียวนุ่ม แคลอรี่ต่ำ ไฟเบอร์สูง และน้ำตาลน้อย ตอบโจทย์คนรักสุขภาพที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและเบาหวาน เตรียมหนุนขยายพื้นที่เพาะปลูกเพิ่มอีก 1 แสนไร่ โดยกรมการข้าวสนับสนุนเมล็ดพันธุ์ที่ผ่านการรับรองคุณภาพแก่สหกรณ์

นายพิเชษฐ์ วิริยะพาหะ อธิบดีกรมส่งเสริมสหกรณ์ กล่าวว่า กรมส่งเสริมสหกรณ์ร่วมกับกรมการข้าวส่งเสริมให้สหกรณ์เพิ่มปริมาณการผลิตข้าว กข 43 โดยกรมส่งเสริมสหกรณ์เป็นหน่วยงานสนับสนุนเรื่องพื้นที่ปลูกข้าว กข 43 คัดเลือกสหกรณ์ที่มีศักยภาพในการผลิตข้าว และสนใจเข้าร่วมโครงการ ทำหน้าที่ดูแลและสนับสนุนเกษตรกรที่เป็นสมาชิกปลูกข้าว กข 43 ตามข้อกำหนด เริ่มตั้งแต่การขึ้นทะเบียนสมาชิกผู้ปลูกข้าว กข 43 การดูแลแปลงปลูกและควบคุมคุณภาพแปลงตามมาตรฐาน GAP จนถึงขั้นตอนรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร และหากสหกรณ์ใดมีโรงสีข้าวที่ผ่านมาตรฐาน GMP แล้ว ก็สามารถแปรรูปเป็นข้าวสาร เพื่อจำหน่ายสู่ตลาดได้ทันที แต่ถ้าสหกรณ์ยังไม่มีโรงสีก็สามารถที่จะรวบรวมข้าวเปลือกจากสมาชิกเพื่อส่งจำหน่ายให้กับโรงสีเอกชน

ขณะเดียวกัน กรมการข้าว จะเข้ามาช่วยดูแลตั้งแต่ขั้นตอนคัดเมล็ดพันธุ์ ดูแลแปลงผลิตเมล็ดพันธุ์และแปลงผลิตข้าวของสมาชิกสหกรณ์  การตรวจรับรองระบบมาตรฐาน GAP และรับรอง GMP โรงสีข้าวของสหกรณ์ สำหรับการสนับสนุนเรื่องเมล็ดพันธุ์ หากเป็นสหกรณ์ที่เพิ่งเข้าร่วมโครงการ จะได้รับการสนับสนุน 30% จากกรมการข้าว ส่วนที่เหลือเกษตรกรต้องซื้อเมล็ดพันธุ์ผ่านสหกรณ์ที่ผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว กข 43 และผ่านการตรวจสอบรับรองคุณภาพจากกรมการข้าวแล้ว ในราคากิโลกรัมละ 19 บาท  ซึ่งกรมการข้าว มีเมล็ดพันธุ์เพียงพอที่จะจำหน่ายให้กับสหกรณ์ที่จะนำไปส่งเสริมสมาชิกได้เพาะปลูกในเดือนเมษายนนี้  โดยจะเริ่มที่สหกรณ์ที่เข้าร่วมโครงการในพื้นที่ลุ่มต่ำบางระกำก่อน ส่วนพื้นที่อื่นจะเริ่มปลูกในเดือนพฤษภาคม 2561 ซึ่งคาดว่าการปลูกข้าว กข 43  จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรที่ทำนาปีและนาปรังประมาณ 19,000 บาทต่อฤดูกาลผลิต

นายพิเชษฐ์  กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีสหกรณ์ได้วางแผนการผลิตข้าว กข 43 นาปี พื้นที่เพาะปลูกรวม 15,016 ไร่ 12 สหกรณ์ ได้แก่ สหกรณ์
การเกษตรดอนเจดีย์ จำกัด 500 ไร่ สหกรณ์การเกษตรบ้านลาด จำกัด 300 ไร่ สหกรณ์การเกษตรเขาย้อย จำกัด 200 ไร่ สหกรณ์การเกษตรท่าเรือ จำกัด 300 ไร่ สหกรณ์การเกษตรในเขตปฏิรูปที่ดินช้างใหญ่ จำกัด 2,000 ไร่ สหกรณ์นิคมลานสัก จำกัด 3,000 ไร่สหกรณ์การเกษตรทุ่งวัดสิงห์ จำกัด 1,220 ไร่ สหกรณ์การเกษตรพรหมพิราม จำกัด 5,014 ไร่ สหกรณ์การเกษตรนิคมฯบางระกำ จำกัด 1,000 ไร่ สหกรณ์การเกษตรบางมูลนาก จำกัด 452 ไร่ สหกรณ์การเกษตรโพทะเล จำกัด 500 ไร่ และสหกรณ์นิคมสวรรคโลก จำกัด (กลุ่มนาแปลงใหญ่ข้าวคลองมะพลับ) 500 ไร่ และยังมีสหกรณ์ที่สนใจจะเข้าร่วมโครงการเพิ่มเติมอีก 4แห่ง คือ สหกรณ์การเกษตรคลองหลวง จำกัด สหกรณ์การเกษตร ลำลูกกา จำกัด สหกรณ์การเกษตรบรรพต จำกัด และสหกรณ์การเกษตรเมืองอุทัยธานี  จำกัด

ทั้งนี้ กรมจะเร่งส่งเสริมสมาชิกสหกรณ์หันมาปลูกข้าวพันธุ์  กข 43 แทนข้าวพันธุ์ทั่วไป เนื่องจากเป็นข้าวที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุคปัจจุบัน คุณสมบัติของข้าว กข 43 เป็นพันธุ์ข้าวที่มีคุณภาพ รสชาติเหนียวนุ่มรับประทานอร่อย มีค่าน้ำตาลอยู่ในระดับปานกลางถึงต่ำ เหมาะกับผู้บริโภคที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานและผู้ที่ห่วงใยสุขภาพ รวมถึงผู้ที่กำลังลดน้ำหนัก  เพราะเมื่อรับประทานข้าว กข 43 ซึ่งมีน้ำตาลต่ำ ร่างกายก็จะเปลี่ยนแป้งไปเป็นน้ำตาลได้ช้าลง ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดไม่เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว และช่วยอิ่มท้องนานไม่หิวง่าย ซึ่งในอนาคตกรมมีแผนที่จะสนับสนุนสหกรณ์ต่างๆ ขยายพื้นที่เพาะปลูกข้าว กข 43 ให้ครบ 1 แสนไร่ และขณะนี้มีหลายสหกรณ์ทยอยสมัครเข้าร่วมโครงการ แต่เนื่องจากข้าวพันธุ์ กข 43 เป็นพันธุ์ข้าวที่ปลูกได้เฉพาะในเขตภาคกลางและภาคเหนือตอนล่างที่เป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ เป็นข้าวไม่ไวแสง อายุเก็บเกี่ยวเพียง 95 วัน ดังนั้น ลักษณะพื้นที่ปลูกจะมุ่งไปที่สหกรณ์ที่ผลิตข้าวในระบบแปลงใหญ่ หากสหกรณ์ใดยังไม่ได้เป็นสหกรณ์ที่อยู่ในระบบแปลงใหญ่ จะต้องสมัครเข้าเป็นระบบการทำเกษตรแบบแปลงใหญ่เสียก่อน เพื่อให้หน่วยงานราชการอื่นเข้าไปส่งเสริมในเรื่องของการปลูก ทั้งการให้ข้อมูลและการถ่ายทอดองค์ความรู้การเพาะปลูก การตรวจรับรองระบบการผลิตที่ตรงตามมาตรฐาน และการส่งเสริมการตลาดนำการผลิต

สำหรับการขยายช่องทางการจำหน่ายข้าว กข 43 ภายในประเทศ กรมได้หารือร่วมกับกระทรวงพาณิชย์ในการวางแผนการตลาด โดยกระทรวงพาณิชย์ได้ประสานกับภาคเอกชน ทั้งโรงสีและผู้ประกอบการที่สนใจทำข้อตกลงซื้อขายข้าวร่วมกับเครือข่ายสหกรณ์ ในเบื้องต้นจะมีสหกรณ์ 9 แห่งในจังหวัดสุพรรณบุรี เพชรบุรี พระนครศรีอยุธยา อุทัยธานีและชัยนาท รวบรวมผลผลิตข้าว กข 43 ในฤดูนาปรังที่ผ่านมา จำนวน 941 ตัน เพื่อเตรียมส่งมอบตามข้อตกลงซื้อขายในลอตแรก มูลค่า 11.763 ล้านบาท

“ตลาดหลักๆ ที่สหกรณ์จะส่งจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการที่ตกลงจะซื้อข้าวเปลือก กข 43 เพื่อนำไปแปรรูปเช่น บริษัท ข้าว อิ่ม ทิพย์ จำกัด  บริษัท ไทยฮา จำกัด (มหาชน) บริษัท เมดิฟูดส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ผกากาญจน์ จำกัด  บริษัท ตราสามใบเถา จำกัด โรงสีปอรุ่งเรืองธัญญา โดยกำหนดส่งมอบตั้งแต่กลางเดือนเมษายนนี้ เป็นต้นไป ในราคาตันละ 12,500 บาท ณ ความชื้นที่ 15%  ซึ่งเกษตรกรมีความพึงพอใจกับราคานี้มาก เพราะเมื่อเทียบกับผลผลิตต่อไร่ของข้าวชนิดอื่นแล้ว ปรากฏว่าข้าว กข 43 ขายได้กำไรที่ดีกว่า และคาดว่าข้าวเปลือก กข 43 ลอตแรกของสหกรณ์ที่ผลิตออกมา จะสามารถกระจายออกสู่ตลาดได้ทั้งหมด” นายพิเชษฐ์ กล่าว

แม้ว่าตลาดรองรับข้าว กข 43  ขณะนี้ยังเป็นตลาดค้าส่งข้าวเปลือกเป็นหลัก แต่ก็มีสหกรณ์บางแห่งที่มีโรงสีข้าว เช่น สหกรณ์การเกษตรดอนเจดีย์ จำกัดและสหกรณ์การเกษตรทุ่งวัดสิงห์ จำกัด ได้แปรรูปข้าว กข 43 เป็นข้าวสาร บรรจุถุงสุญญากาศที่มีเครื่องหมายรับรองคุณภาพจากกรมการข้าวว่าเป็นข้าว กข 43 แท้ที่ผลิตจากสหกรณ์ และวางขายตามตลาดทั่วไป ซึ่งกรมจะสนับสนุนให้สหกรณ์ขยายช่องทางการจำหน่ายเพิ่มขึ้น โดยตั้งเป้าหมายที่จะนำไปวางขายภายในห้างโมเดิร์นเทรด ศูนย์กระจายสินค้าสหกรณ์ตามจังหวัดต่างๆ รวมถึงร้านสหกรณ์ในมหาวิทยาลัยและร้านสหกรณ์ในโรงพยาบาลทั่วประเทศ ซึ่งคาดว่าจะเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคที่ดูแลสุขภาพได้ตรงจุด อีกทั้งยังมีแผนจะประชาสัมพันธ์ข้าว กข 43 ของสหกรณ์ผ่าน Social Media ด้วย เพื่อจะสนับสนุนข้าว กข 43 ให้ติดตลาด มุ่งเจาะฐานลูกค้ากลุ่มคนที่รักษาสุขภาพ และในอนาคตได้ตั้งเป้าหมายที่จะผลักดันให้เป็นข้าวออแกนิค เพื่อดึงดูดลูกค้ามากขึ้น

“ขณะนี้ได้รับการติดต่อจากห้างบิ๊กซีและบริษัท แอมเวย์ เพื่อเจรจาขอสั่งซื้อ ซึ่งคาดว่าข้าว กข 43 ของสหกรณ์จะสามารถนำไปวางขายใน
ห้างบิ๊กซีได้เร็วๆ นี้  ขณะเดียวกันทางกระทรวงพาณิชย์จะเข้ามาช่วยในเรื่องการประชาสัมพันธ์และทำตลาด โดยหาภาคเอกชนที่สนใจสั่งซื้อข้าว กข 43 เข้ามาจับมือเป็นคู่ค้ากับสหกรณ์ด้วย”นายพิเชษฐ์ กล่าว

Leave a comment