ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/333672

แตกใบอ่อน : ยิ่งช้าปัญหายิ่งลาม
ยังคงมีเค้าลางที่จะกลายเป็นเรื่องยาวต่อไป สำหรับกรณีโครงการบ้านพักตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ที่บริเวณเชิงดอยสุเทพ ต.ดอนแก้ว อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ซึ่งแม้ล่าสุดก่อนหยุดยาววันสงกรานต์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกมาส่งสัญญาณค่อนข้างชัดเจนในทำนองว่า ศาลคงเข้าไปอยู่ในบ้านพักไม่ได้แล้ว เพราะถูกคัดค้านอย่างหนักต่อประชาชน
แต่ก็ยังไม่วายห้อยติ่งเอาไว้ว่า ยังไงก็คงไม่รื้อ ไม่ทุบทิ้ง แต่อาจหาทางออกด้วยการนำพื้นที่ไปใช้ประโยชน์อย่างอื่น เพราะเสียดายงบประมาณที่นำมาทุ่มก่อสร้างโครงการแห่งนี้ และที่สำคัญ คือ เกรงจะถูกผู้รับเหมาก่อสร้างทำสัญญากับรัฐฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเอาได้
ฟังเสียงจากฝ่ายศาลก็คงไม่มีปัญหา เพราะดังที่ทราบกันว่าก่อนหน้านี้ศาลเป็นฝ่ายโยนปัญหามาให้รัฐบาลตัดสินใจ และได้ประกาศล่วงหน้าเอาไว้แล้วว่า ไม่ว่ารัฐบาลจะชี้ออกมาอย่างไร ก็พร้อมจะยอมรับและดำเนินการตามทุกประการ
ขณะที่หากฟังจากเสียงกลุ่มประชาชนผู้คัดค้าน ก็เห็นทีต้องบอกว่า “ทางออก” ที่นายกฯเสนอมานั้น ไม่น่าจะใช่สิ่งที่ฝ่ายประชาชนต้องการแต่อย่างใด เพราะจุดยืนของพวกเขายังชัดเจนอยู่ว่าต้อง “รื้อ” กลุ่มอาคารที่ยื่นเข้ามาในผืนป่า ซึ่งก็เป็นส่วนของอาคารและบ้านพักของตุลาการศาลอุทธรณ์ภาค 5 ทั้งสิ้น
ลึกๆ ผมยอมรับนะครับว่า แอบเห็นด้วยกับนายกฯ ที่น่าจะหาทางออกด้วยการให้กันพื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่สาธารณะที่ประชาชนสามารถเข้ามาใช้ประโยชน์ได้ เพราะตัวผมก็แอบเสียดายงบฯประมาณที่ถูกเอามาก่อสร้างจนใกล้จะเสร็จอยู่รอมร่ออยู่แล้ว แต่ถ้าให้คิดตามแบบจริงๆ จังๆ ก็ต้องยอมรับว่า ผมคิดไม่ออกว่าพื้นที่แห่งนั้นควรจะเอาไปพัฒนาเป็น “อะไร”
เพราะต้องไม่ลืมว่า เมื่อโครงการเดิมมันเป็น “บ้าน” และอาคารที่พัก ซึ่งมันทำให้เกิดคำถามว่า เมื่อลักษณะของสิ่งก่อสร้างเป็นแบบนี้แล้ว เราจะนำไปพัฒนาเป็นอะไรได้บ้าง
พิพิธภัณฑ์งั้นเหรอ? หรือที่เป็นสถานที่อบรม? หรือเป็นห้องสมุด? เป็นแหล่งเรียนรู้ธรรมชาติ?
ให้ตายเถอะครับ ผมคิดไม่ออกจริงๆ
ที่สำคัญ ถ้าพิจารณาสถานการณ์เรื่องนี้กันให้ดี จะเห็นว่าโจทย์ใหญ่ที่เป็น “แก่นแท้” ของปัญหา คือ จะทำอย่างไรให้พื้นที่ที่ชาวบ้านเขาตั้งฉายากันว่าเป็นพื้นที่ “ป่าแหว่ง”กลับมาเป็น “ป่า” เหมือนเดิม ซึ่งแน่นอนว่าการพัฒนาพื้นที่เพื่อให้มีการ “ใช้ประโยชน์” ไม่น่าจะเป็นทางเลือกที่ดีสักเท่าไรนัก เพราะการเปิดพื้นที่ให้ใช้ประโยชน์จากสาธารณะขึ้นเมื่อใด ก็ย่อมไม่ต่างจากการปล่อยให้พื้นที่ถูกรุกล้ำอยู่อย่างไม่จบสิ้น
แบบนี้แล้วเมื่อไรจะได้ “ป่า” กลับมา
และเมื่อไรไอ้ภาพแหว่งๆ วิ่นๆ บนดอยสุเทพที่เห็นกันอยู่ทุกวันนี้จะหายไป
ต้องไม่ลืมนะครับว่า “ดอยสุเทพ” สำหรับคนเชียงใหม่และคนภาคเหนือไม่ได้เป็นแค่ “ภูเขา” เหมือนนักท่องเที่ยวหรือคนพื้นที่อื่นมองกัน รวมทั้งไม่ได้มีเพียงแค่ความสำคัญเชิงระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมในพื้นที่เท่านั้น แต่ที่นี่ยังเปรียบเสมือน “พื้นที่ทางใจ” ของคนเมือง เป็นแหล่งวัฒนธรรม และมีความเชื่อมโยงไปถึงความสัมพันธ์ระหว่างคนพื้นที่ราบกับคนบนที่สูง
การสร้างรอยด่างให้กับ “ดอยสุเทพ” จึงไม่ต่างจากการเข้ามาเหยียบย่ำหัวใจของคนที่นี่
ดังนั้นบางทีรัฐบาลและศาล อาจจะต้องคิดให้มากขึ้น และลึกซึ้งขึ้นถึงแนวทางการแก้ไขปัญหา
ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ตามมาอาจจะไม่ได้จบแค่กระแสคัดค้านดังที่เป็นอยู่ในตอนนี้ แต่อาจพัฒนาเป็นสิ่งที่น่ากลัวกว่า นั่นคือ “วิกฤติศรัทธา” ที่มีต่อรัฐ และต่อฝ่ายตุลาการ
ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองเงี่ยหูฟังเสียงชาวบ้านดู เดี๋ยวก็จะรู้เองครับ
มะลิลา