ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/339270
x

จ่อเปิดนิติบุคคลบริษัทร่วมค้ายาง กยท.จับมือสถาบันเกษตรกรเดินหน้ากลยุทธ์ตลาดนำการผลิต
นายเยี่ยม ถาวโรฤทธิ์ รักษาการผู้ว่าการ การยางแห่งประเทศไทย (กยท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ กยท. ได้วางแนวทางดำเนินการร่วมกับสถานบันเกษตรกรชาวสวนยาง จัดตั้งนิติบุคคลในรูปแบบบริษัทร่วมค้า (Joint Trading Company) ที่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อเกษตรกร เพื่อทำหน้าที่ในการรวบรวมยางพารา ไม่ว่าจะเป็นยางแผ่นรมควัน ยางแท่ง ยางคอมปาวด์ และน้ำยางข้น เป็นต้น จากสถาบันเกษตรกรสวนยาง นำไปจำหน่ายให้กับผู้ค้าทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะเป็นการสร้างรายได้ให้กับเกษตรกร และสถาบันเกษตรกรชาวสวนยาง ตลอดจนพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดียิ่งขึ้นอย่างยั่งยืน
สำหรับกลุ่มเป้าหมายหลักที่จะนำยางขายคือ บริษัทผู้ผลิตยางล้อ โดยเฉพาะในตลาดต่างประเทศ จะไม่ได้มองแค่ตลาดประเทศจีนเท่านั้น แต่จะเปิดตลาดในประเทศอื่นๆ ด้วย แม้ในปัจจุบันจีนจะเป็นตลาดใหญ่ มีความต้องการใช้ยางถึง 35% ของความต้องการใช้ยางทั่วโลกก็ตาม แต่ที่เหลืออีก 65% ซึ่งกระจายอยู่ทั้งในตลาดยุโรป อเมริกา ตะวันออกกลาง และแอฟริกา กยท.ก็จะให้ความสำคัญเร่งขยายตลาดเช่นกัน โดยจะประสานขอความร่วมมือจากทูตพาณิชย์ ที่อยู่ในประเทศต่างๆในการขยายตลาดยาง พร้อมนำกลยุทธ์ทางการตลาดในรูปแบบต่างๆมาใช้ ไม่ว่าจะการทำ Marketing Promotion การทำ Road-Show หรือ Business Matching
นอกจากนี้อาจจะต้องเจรจาในการแลกเปลี่ยนยางพารากับสินค้าอื่นๆ เช่น ปุ๋ย เครื่องจักรที่จะใช้ในการแปรรูปยาง เป็นต้น ในรูปแบบ จีทูจี ซึ่งจะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากรัฐบาล รวมทั้งถ้าเป็นไปได้จะจัดตั้งสำนักงานขายยางในต่างประเทศ โดยเฉพาะในโซนยุโรป โซนอเมริกา รวมทั้งในประเทศจีนด้วย เพื่อเพิ่มช่องทางในการจำหน่ายและเจรจาทำสัญญาในการซื้อขาย เพื่อให้ได้ยอดสั่งซื้อก่อนที่จะมารับซื้อยางจากเกษตรกร
“จะต้องทำการตลาดก่อน จะใช้การตลาดนำการผลิตตามนโยบายของ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เราต้องหาลูกค้าให้ได้ก่อน และจะต้องทำสัญญาให้ชัดเจน ว่า ต้องการจำนวนเท่าไร ส่งมอบเมื่อไหร่ ในราคาเท่าไหร่ โดยเราจะเป็นผู้กำหนดราคา ภายใต้บนพื้นฐานของต้นทุนการผลิตที่ชาวสวนยางอยู่ได้บวกกำไรที่ควรจะได้รับ ซึ่งจะทำให้ชาวสวนยางไม่มีความเสี่ยง อย่างไรก็ตามสิ่งสำคัญก็คือ สถาบันชาวสวนยางจะต้องมีความรับผิดชอบต่อข้อตกลง ถ้าผิดสัญญาจะต้องมีมาตรการลงโทษ” นายเยี่ยมกล่าว
รักษาการผู้ว่าการ กยท.กล่าวด้วยว่า สำหรับการขยายตลาดยางของไทยนั้น จะใช้จุดแข็งที่ได้เปรียบประเทศคู่แข่งในการขยายตลาด คือ ประเทศไทยเป็นประเทศเดียวที่สามารถผลิตน้ำยางข้นเกรดพรีเมียม ผ่านมาตรฐานGMP และยังเป็นประเทศเดียวที่ผลิตยางแผ่นรมควันส่งออกอีกด้วย ส่วนประเทศอื่นๆจะผลิตยางแท่งซึ่งจะมีปัญหาในเรื่องของมลพิษ ดังนั้น กยท.เร่งส่งเสริมให้สถาบันเกษตรกรให้แปรรูปส่งออกในรูปแบบน้ำยางข้น และยางแผนรมควัน ซึ่งสินค้ากึ่งวัตถุดิบที่สามารถนำไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆได้มากมายกว่ายางประเภทอื่นๆ โดยน้ำยางข้น สามารถนำไปเป็นวัตถุถิบในการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ถุงมือแพทย์ ถุงมือทั่วไป ยางยืด ถุงยางอนามัย เสื้อผ้า สายรัด ฟูกที่นอน ของเล่น เกรียวยาง แผ่นอัดข้อตก ผลิตภัณฑ์สำหรับรถยนต์ เบ้าพิมพ์ บอลลูน พื้นรองเท้า เป็นต้น ส่วนยางแผนรมควันก็เช่นกัน สามารถนำไปเป็นวัตถุดิบในการผลิตยางรถยนต์ สายพานลำเลียง ท่อยาง รองเท้า ชิ้นส่วนรถยนต์ เป็นต้น
ทั้งนี้หากสถาบันเกษตรกร สามารถแปรรูปเป็นสินค้ากึ่งวัตถุดิบดังกล่าวได้ จะสามารถลดความเสี่ยงในเรื่องราคาได้ ทำให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น สร้างความเข้มแข็งอย่างยั่งยืน และในอนาคตจะทำให้มีเงินสำรองมากพอที่จะตั้งเป็นเหมือนกองทุนหมุนเวียนหรือกองทุนสำหรับให้ชาวสวนยางกู้ไปลงทุนในเรื่องของอุตสาหกรรมปลายน้ำ เช่น การผลิตฟูกที่นอน ผลิตหมอนยางพารา ถุงมือ เป็นต้น และในอนาคตประเทศไทยไม่จำเป็นต้องส่งออกวัตถุดิบเลย เมื่อถึงจุดนั้น เกษตรกรชาวสวนยางก็จะมีรายได้และมีความมั่นคงด้านเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนแน่นอน