แตกใบอ่อน : วัดใจรัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/342008

807934531

แตกใบอ่อน : วัดใจรัฐบาล

วันพฤหัสบดี ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

ในที่สุดผลการประชุม “คณะกรรมการวัตถุอันตราย” เมื่อวันที่ 23 พฤษภาคม ที่มี นายสมบูรณ์ ยินดียั่งยืน รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เป็นประธาน ซึ่งมีวาระสำคัญ คือ พิจารณายกเลิกและจำกัดการใช้สารเคมีทางการเกษตร 3 ชนิด ก็ออกมาในรูปแบบที่หลายฝ่ายกังวล

นั่นคือ ไม่ยกเลิกการหรือแบนการใช้ “พาราควอต” กับ “คลอร์ไฟริฟอส” และไม่จำกัดการใช้ “ไกลโฟเซต” ในประเทศไทย

โดยสารเคมี 2 ตัวแรกจะให้มีการ “จำกัดการใช้” แทน โดยให้ “กรมวิชาการเกษตร” ไปออกมาตรการควบคุมภายใน 2 เดือน ทั้งการนำเข้า การซื้อ และการใช้ของเกษตรกร รวมถึงต้องอบรมให้ความรู้กับเกษตรกรเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

ขณะที่เหตุผลที่คณะกรราการชุดนี้ยกขึ้นมาอ้าง สรุปสั้นๆ ตามถ้อยแถลงของรองปลัดฯอุตสาหกรรม ก็คือ เพราะข้อมูลผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพยังไม่เพียงพอ

ผมเองแม้จะไม่หาญกล้าไปก่นด่าหรือประณามการลงมติครั้งนี้ว่าเป็น “มติอัปยศ” เหมือนอย่างที่เครือข่ายแบนสารพิษเขานินทากัน เพราะเชื่อใน “เกียรติ” ของกรรมการทุกคน แต่โดยส่วนตัวก็อดสงสัยไม่ได้ว่า สรุปแล้วเหตุผลที่คณะกรรมการวัตถุอันตรายยกมาอ้างตามที่รองปลัดฯสมบูรณ์พูดมานั้น มันเป็นเหตุผลที่เป็นข้อเท็จจริงหรือไม่

เพราะถ้าจำไม่ผิด เมื่อเดือนเมษายนปีที่แล้ว คณะกรรมการขับเคลื่อนปัญหาการใช้สารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชที่มีความเสี่ยงสูง ที่มี นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข เป็นประธาน และคณะทำงาน 4 กระทรวงหลัก ก็มีมติชัดเจนเกี่ยวกับสารเคมีอันตรายทั้ง 3 ชนิด คือ ขอให้แบนพาราควอตและคลอร์ไฟริฟอส รวมทั้งจำกัดการใช้ไกลโฟเซต เนื่องจากมีงานวิจัยยืนยันอย่างชัดเจนในเรื่องดังกล่าว

ขณะที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา คณะทำงานร่วม 3 กระทรวง ประกอบด้วย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงเกษตรฯ และกระทรวงอุตสาหกรรม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี สั่งให้ตั้งขึ้น ก็มีข้อสรุปยืนยันเรื่องการแบน “พาราควอต” ภายใน 2 ปี ขณะที่ นพ.ปิยะสกล ก็ได้ออกมาพูดชัดถึงงานวิจัยที่กลุ่มคัดค้านการแบนยกขึ้นมาอ้างว่าหากใช้สารพาราควอตตามข้อกำหนด จะไม่ทำให้เกิดผลกระทบต่อสุขภาพหรือสิ่งแวดล้อมนั้น เป็นงานวิจัยเก่าตั้งแต่ปี 2540 หรือเมื่อ 20 ปีที่แล้ว ซึ่งปัจจุบันมีงานวิจัยที่ยืนยันว่าต่อให้มีการใช้ตามข้อกำหนดก็ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเมื่อมีมติให้ระงับก็ต้องดำเนินการตามนั้น

นี่จึงทำให้ใครต่อใครพากันรู้สึกสงสัยว่า เบื้องหลังการลงมติดังกล่าวจะมีกลิ่นอะไรแปลกๆ อยู่หรือไม่

ขณะที่ เครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษอันตรายร้ายแรง 369 องค์กร ยังตั้งข้อกังขาเกี่ยวกับการลงมติครั้งนี้ใน 3 ประเด็นหลัก นั่นคือ 1.ความชอบด้วยกฎหมาย เนื่องจากมีผู้มีส่วนได้เสียซึ่งอยู่ในคณะกรรมการวัตถุอันตรายร่วมลงมติด้วย 2.ผลประโยชน์ทับซ้อน โดยมีผู้เกี่ยวข้องกับกลุ่มบริษัทค้าสารเคมีและวัตถุอันตรายนั่งอยู่ในกรรมการชุดนี้อย่งน้อย 3 คน และ 3.ความโปร่งใสในการพิจารณา เนื่องจากยังคงมีการใช้ข้อมูลงานวิจัยเก่า ปฏิเสธการใช้ผลการศึกษาล่าสุดจากหลายสถาบัน ที่มีหลักฐานชี้ชัดเกี่ยวกับผลกระทบกับการใช้สารเคมีดังกล่าว

นี่จึงนำมาซึ่งการนัดรวมพลของเครือข่ายสนับสนุนการแบนสารพิษอันตรายร้ายแรงทั้ง 369 องค์กร ที่จะบุกไปทำเนียบรัฐบาล วันที่ 1 มิถุนายนนี้ เพื่อเรียกร้องให้นายกฯและรัฐบาลใช้อำนาจทบทวนมติดังกล่าว ซึ่งดูจากทรงแล้ว แม้จะเชื่อได้ว่าการชุมนุมครั้งนี้ไม่น่าจะมีเหตุวุ่นวายร้ายแรง เพราะไม่ได้เป็นการชุมนุมที่มีจุดประสงค์สร้างสถานการณ์ปั่นป่วน หรือความวุ่นวายใดๆ

แต่หากคำตอบที่ออกมาไม่เข้าท่า เรื่องนี้ก็อาจจะบานปลายได้

ที่สำคัญ รัฐบาลชุดนี้ก็จะได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่สนับสนุนให้แผ่นดินไทยยังคงอาบไปด้วยสารพิษ

เพราะที่ผ่านมามีโอกาสที่จะแก้ไขมัน แต่กลับไม่ยอมลงมือทำ

มะลิลา

Leave a comment