รายงานพิเศษ : กรมส่งเสริมการเกษตรแนะใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมพอดี หนทางลดต้นทุนอย่างยั่งยืน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/local/343623

รายงานพิเศษ : กรมส่งเสริมการเกษตรแนะใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมพอดี หนทางลดต้นทุนอย่างยั่งยืน

รายงานพิเศษ : กรมส่งเสริมการเกษตรแนะใช้ปุ๋ยให้เหมาะสมพอดี หนทางลดต้นทุนอย่างยั่งยืน

วันพฤหัสบดี ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2561, 06.00 น.

การใช้ปุ๋ยให้ถูกต้องเหมาะสมตามความอุดมสมบูรณ์ของดินและความต้องการของพืช เป็นการลดต้นทุนการผลิตอย่างถูกวิธีมากที่สุด เนื่องจากต้นทุนการผลิตของเกษตรกรส่วนใหญ่อยู่ที่ค่าปุ๋ยเคมีเป็นอันดับต้นๆ เพราะปุ๋ยเคมีกว่า 90% ต้องนำเข้าจากต่างประเทศ ทำให้มีราคาค่อนข้างสูง ขณะเดียวกัน เกษตรกรมักใส่ปุ๋ยตามคำแนะนำทั่วไป โดยไม่คำนึงถึงความเหมาะสมของสภาพพื้นที่ของตนเอง ทำให้บางครั้งใส่ปุ๋ยเกินความต้องการของพืช เป็นการสิ้นเปลืองโดยเปล่าประโยชน์

นางชัญญา ทิพานุกะ ผู้อำนวยการกลุ่มส่งเสริมการจัดการดินปุ๋ย กองส่งเสริมการอารักขาพืชและจัดการดินปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตร กล่าวว่า การจัดการดินและปุ๋ยอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดต้นทุนการผลิตนั้น เกษตรกรสามารถทำได้ไม่ยาก เพียงแค่เริ่มต้นด้วยการนำตัวอย่างดินมาตรวจวิเคราะห์ก่อนการปลูกพืชหรือก่อนการใส่ปุ๋ย เพื่อทราบความอุดมสมบูรณ์ของดิน ณ ขณะนั้น ซึ่งปัจจุบันมีหลายหน่วยงานที่ให้บริการตรวจวิเคราะห์ดินในห้องปฏิบัติการ แต่เกษตรกรอาจไม่สะดวกหรือส่งแล้วบางครั้งอาจได้รับผลการวิเคราะห์ดินล่าช้า กรมส่งเสริมการเกษตรจึงสนับสนุนให้ศูนย์จัดการดินปุ๋ยชุมชนที่กระจายอยู่ในทุกอำเภอทั่วประเทศมีชุดตรวจสอบ N (เอ็น) P (พี) K (เค) และ pH (พีเอช : ความเป็นกรดเป็นด่าง) ในดินแบบรวดเร็ว เพื่อให้บริการตรวจวิเคราะห์และให้คำแนะนำการใช้ปุ๋ยตามค่าวิเคราะห์ดินเบื้องต้นให้กับสมาชิกและรวมถึงเกษตรกรในชุมชน โดยใช้เวลาในการวิเคราะห์ตัวอย่างละประมาณ 30 นาที เกษตรกรจะทราบได้ทันทีว่าพื้นที่ดินของตนเองมีธาตุอาหารหลัก (N, P, K) อยู่มากน้อยเพียงใด จะช่วยให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น เรียกว่า พอดีกับความต้องการของพืช ถูกชนิด และถูกอัตราลดผลกระทบจากการใช้ปุ๋ยไม่ถูกต้อง และช่วยให้ต้นพืชแข็งแรงต้านทางโรคและแมลง

เมื่อเกษตรกรรู้จักดินของตัวเองเป็นอย่างดีแล้ว ก็สามารถจัดการเรื่องปุ๋ยได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในเรื่องการใช้ปุ๋ย กรมส่งเสริมการเกษตรไม่ได้มุ่งเน้นเจาะจงส่งเสริมเฉพาะปุ๋ยเคมีเป็นหลัก แต่มีการส่งเสริมให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยด้วยวิธีผสมผสานร่วมกับปุ๋ยอินทรีย์และปุ๋ยชีวภาพเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เนื่องจากปุ๋ยแต่ละประเภทมีคุณสมบัติแตกต่างกัน

กรณี ปุ๋ยเคมี วัตถุประสงค์หลักที่ใช้เพื่อให้ธาตุอาหารแก่พืชอย่างรวดเร็วตรงกับช่วงเวลาที่พืชต้องการ และหากใช้ได้ถูกสูตร ถูกอัตราตามค่าวิเคราะห์ดินและที่สำคัญคือถูกเวลา คือใส่ปุ๋ยตรงกับช่วงเวลาที่พืชมีความต้องการธาตุอาหารนั้นๆ ก็จะเกิดประโยชน์สูงสุด แต่ปุ๋ยเคมีไม่ช่วยเรื่องการปรับโครงสร้างของดิน จึงจำเป็นต้องเสริมด้วย ปุ๋ยอินทรีย์ ที่มีคุณสมบัติในการเพิ่มอินทรียวัตถุให้กับดิน ช่วยปรับปรุงสมบัติทางกายภาพของดิน ทำให้ดินโปร่ง ร่วนซุย ระบายน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี ทำให้รากพืชชอนไชไปหาธาตุอาหารได้ง่ายขึ้น และช่วยเพิ่มปริมาณจุลินทรีย์ในดิน แต่ปุ๋ยอินทรีย์ก็มีข้อจำกัด คือ มีปริมาณธาตุอาหารอยู่น้อยเมื่อเปรียบเทียบกับปุ๋ยเคมี และธาตุอาหารพืชส่วนใหญ่อยู่ในรูปของสารประกอบอินทรีย์ พืชไม่สามารถดูดไปใช้ประโยชน์ได้ทันทีต้องผ่านกระบวนการย่อยสลายโดยจุลินทรีย์ในดินก่อนจึงค่อยๆ ปลดปล่อยธาตุอาหารให้พืชนำไปใช้ได้ แต่อาจไม่ตรงกับช่วงเวลาและปริมาณที่พืชต้องการ

ส่วนปุ๋ยชีวภาพ เป็นปุ๋ยที่ประกอบด้วยจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ และมีคุณสมบัติพิเศษสามารถสังเคราะห์สารประกอบธาตุอาหารพืชได้เอง หรือสามารถสกัดธาตุอาหารที่อยู่ในดินให้ละลายออกมาอยู่ในรูปที่พืชดูดไปใช้ประโยชน์ได้ หรือจากการตรึงไนโตรเจนจากอากาศให้แก่พืช ช่วยเสริมประสิทธิภาพปุ๋ยเคมี และลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยเคมี แต่ปัจจุบันปุ๋ยชีวภาพยังมีข้อจำกัดที่ไม่สามารถนำมาใช้ได้กับพืชทุกชนิด ส่วนใหญ่จะผลิตมาเฉพาะเจาะจงกับพืชแต่ละชนิดเท่านั้น

“ดินแต่ละชนิดมีความอุดมสมบูรณ์แตกต่างกันและขึ้นกับการบำรุงรักษาของเกษตรกรแต่ละราย ปุ๋ยแต่ละประเภทก็มีบทบาทหน้าที่แตกต่าง ฉะนั้นเกษตรกรจำเป็นต้องมีการจัดการดินและปุ๋ยอย่างถูกต้องและเหมาะสม ซึ่งจะเป็นแนวทางในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสินค้าเกษตรได้อย่างยั่งยืน และทำให้เกษตรกรสามารถแข่งขันได้ ในสภาวะตลาดที่มีการแข่งขันสูงในปัจจุบัน” นางชัญญา กล่าวย้ำ


ชัญญา ทิพานุกะ

ชัญญา ทิพานุกะ

Leave a comment