ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/343412

ส่องเกษตร : ‘ข้าว’…กับการตายของวาฬ!
ผมนั่งเขียนต้นฉบับนี้ในเช้าวันอังคาร 5 มิ.ย. 2561 ซึ่งเป็นทั้ง“วันข้าวและชาวนาแห่งชาติ”ของไทยเราและ“วันสิ่งแวดล้อมโลก”(World Environment Day)ของสากลโลก จึงขอรายงานเรื่องที่น่าสนใจทั้งสองวันสำคัญนี้
วันข้าวฯปีนี้ นับเป็นปีที่มีความหวังเรืองรอง เพราะอยู่ในช่วงที่ราคาข้าวสดใสยิ่ง ท่านนายกฯประยุทธ์ จันทร์โอชายังพูดในรายการ“ศาสตร์พระราชาฯ”ศุกร์ที่ผ่านมาว่า วันข้าวฯปีนี้มีเรื่องน่ายินดีสำหรับ“กระดูกสันหลังของชาติ”คือ ปัจจุบันราคาข้าวเปลือกหอมมะลิอยู่ที่ 17,800 บาทต่อตัน และข้าวเปลือกเจ้านาปรังตันละ 8,200 บาท นับว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ดี
เพราะ“ข้าว”พืชหลักของไทยกำลังราคาดี จึงเป็นส่วนสำคัญหนึ่งทำให้สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรคาดว่า จะดันดัชนีรายได้เกษตรกรเดือนพ.ค.2561 ปรับตัวเพิ่มขึ้นถึง 7.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งทำให้ปลัดกระทรวงการคลัง-ประสงค์ พูนธเนศมั่นใจว่า เศรษฐกิจระดับฐานรากเริ่มฟื้นขึ้นแล้ว…ถือเป็นข่าวดีของเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศด้วย
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จัดงานวันข้าวปีนี้ยิ่งใหญ่ ตามเป้าหมายรัฐบาลที่มุ่งยกระดับรายได้และคุณภาพชีวิตชาวนาไทย เพื่อก้าวสู่ยุคไทยแลนด์ 4.0 ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ และแนวทางประชารัฐเพื่อให้ประเทศไทยมีความมั่นคงทางอาหารและมีศักยภาพเป็นผู้นำข้าวในตลาดโลก งานที่จัดขึ้นใช้ชื่อ“วันถ่ายทอดเทคโนโลยีการผลิตข้าวระดับประเทศ ภายใต้โครงการระบบส่งเสริมการเกษตรแบบนาแปลงใหญ่ปี 2561” ด้วยแนวคิด “มหัศจรรย์ข้าวพื้นเมือง คุณค่าจากทุ่งนา เพิ่มมูลค่าด้วยนวัตกรรม” จัดยาว 6 วัน จันทร์ที่ 4 ถึงเสาร์ที่ 9 มิ.ย.ที่กรมการข้าว มากกว่าทุกปีที่จัด 3-4 วันเท่านั้น
ฉะนั้นยังมีเวลาไปงานได้ถึงวันเสาร์นี้ มีไฮไลท์ให้ชมมากมาย อาทิ การจัดแสดงพันธุ์ข้าวพื้นเมืองต่างๆและใช้ประโยชน์จากพันธุกรรมข้าวแต่ละภาค,การผลิตข้าวที่ทันสมัยโดยใช้นวัตกรรมต่างๆ,การแปรรูปเพิ่มมูลค่าข้าว,การตลาดและสร้างแบรนด์ มีเวทีเสวนาวิชาการ,แสดงผลงานชาวนา,ผลงานกลุ่มนาแปลงใหญ่ ฯลฯ ทั้งมีการออกร้านกว่า 100 บูธขายสินค้าดีมีคุณภาพ,ผลิตภัณฑ์จากข้าว,อาหารหลากเมนูข้าว พร้อมทั้งชม“ปราสาทข้าวจำลอง”ประดับตกแต่งด้วยรวงข้าวอย่างสวยงาม…
หวังว่า “ปราสาทข้าว”จะเป็นนิมิตหมายอันดี ก็ขอร่วมฝันหวานกับชาวนาไทยในวันข้าวฯปีนี้ว่า ทุกอย่างน่าจะกำลังไปได้ด้วยดี เพื่อนำไปสู่การลืมตาอ้าปากกันได้เต็มที่เสียที
ที่นี่มาว่าถึงวันสิ่งแวดล้อมโลกบ้าง ปีนี้ทั่วโลกใช้แนวคิดรณรงค์ปัญหาสิ่งแวดล้อมว่า “Beat Plastic Pollution”หรือการเอาชนะมลพิษจากพลาสติก เพราะนับวันขยะพลาสติกยิ่งเป็นสาเหตุสำคัญเลวร้ายที่ทำลายสิ่งแวดล้อม,ทำร้ายชีวิตสัตว์ป่าและสัตว์ในทะเล มีผลเสียต่อพื้นที่เกษตรกรรม ทั้งทำลายแหล่งท่องเที่ยวและเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง ที่เป็นพาหะเชื้อโรคร้ายทำร้ายสุขภาพคน ฯลฯ
ประเมินกันว่า แต่ละปีมีขยะพลาสติกกว่า 8 ล้านตันไหลลงทะเล จนสหประชาชาติคาดว่า หากยังคงทิ้งขยะกันต่อเนื่องระดับนี้ ภายในปี 2050 ในทะเลจะมีขยะพลาสติกมากกว่าจำนวนปลา ส่งผลเสียหายร้ายแรงต่อการประมงทางทะเล สัตว์น้ำ และการท่องเที่ยว
ทั่วโลกต่างห่วงกันมาก จนหลายๆประเทศออกมาตรการแก้ปัญหาที่เข้มข้นมากๆถึงกับห้ามใช้ถุงพลาสติก หรือบางประเทศก็ขึ้นภาษีถุงพลาสติก หรือห้ามห้างใช้ถุงพลาสติกใส่สินค้าให้ลูกค้า ฯลฯ ส่วนไทยเราดูเหมือนภาครัฐไม่ค่อยมีมาตรการจริงจังเรื่องนี้นัก นอกจากการรณรงค์ ยึดความสมัครใจในการช่วยกันลดการใช้ถุงพลาสติกอยู่บ้างเท่านั้น
พิษภัยร้ายถุงขยะพลาสติกที่ย่อยสลายยากและถูกทิ้งเกลื่อนกลาดทำลายชีวิตสัตว์ เพิ่งเป็นข่าวสุดสะเทือนใจคนไทยเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยพบ“วาฬนำร่องครีบสั้น”เพศผู้ มาเกยตื้นตายที่ปากคลองนาทับ ติดทะเลอ่าวไทย ในอ.จะนะ สงขลา ก่อนสิ้นใจก็สำรอกถุงพลาสติกออกมาหลายถุง เป็นที่น่าสังเวช เมื่อนำไปผ่าพิสูจน์ยิ่งน่าตกใจ เพราะในกระเพาะเต็มไปด้วยถุงพลาสติกอัดแน่นถึง 80 ใบ!น้ำหนักรวม 8 กก.!…สรุปขยะพลาสติกคือ“ฆาตกร”ฆ่าวาฬนำร่องไทย
ดร.ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ นักอนุรักษ์ธรรมชาติด้านทะเลจึงโพสต์เฟซบุ๊คเรียกร้องให้สังคมไทย ทั้งประชาชน ภาคเอกชน และทุกฝ่าย “ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกล้าเลิกใช้ถุงพลาสติก” ให้วาฬตัวนี้ เป็นตัวสุดท้ายที่ถูกขยะพลาสติก“ฆ่า”
ผมร่วมขอแรงทุกท่านที่อ่านคอลัมน์นี้ ช่วยกันด้วยครับ เพื่อสิ่งแวดล้อมและเพื่ออนาคตไทยทั้งปวงด้วย
สาโรช บุญแสง