ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/local/346395

ส่องเกษตร : หมูมะกันกับสงครามการค้า
กูรูต่างระบุเศรษฐกิจโลกปีนี้ฟื้นตัวชัดเจนมาก ทั้งประเทศผู้นำเศรษฐกิจสำคัญๆตั้งแต่สหรัฐอเมริกาลงมา รวมถึงประเทศไทยด้วย การฟื้นตัวเศรษฐกิจโลก ส่งผลดีต่อสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งหลาย รวมถึงสินค้าเกษตร หลายๆตัวที่กลับมาราคาดีขึ้น สร้างความหวังที่สดใสให้ภาคการเกษตรไทยได้ไม่น้อย
แต่ท่ามกลางการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกนี้ กลับเกิดภาวะความตึงเครียด ด้วยส่อที่จะเกิด“สงครามการค้า” ที่รุนแรง เข้ามาทำลายบรรยากาศอย่างน่าเสียดาย
ผู้ที่โลกจ้องประณามเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตา“จุดชนวนสงครามการค้า”อย่างแข็งขัน คือ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ขึ้นเป็นผู้นำสหรัฐฯจากการเลือกตั้งด้วยการหาเสียงนโยบาย“อเมริกันมาก่อน”(America Frist) ละทิ้งสิ่งที่เคยยอมเสียเปรียบบ้างให้กับประเทศที่ด้อยกว่าหรือประเทศที่เป็นพันธมิตรเพื่อแสดงความเป็น“พี่เบิ้ม”มหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก โดยหันกลับมายึดเอาแต่เรื่องผลประโยชน์ของอเมริกาเป็นที่ตั้งหลักอย่างสุดขั้ว ชนิดไม่แคร์อะไรทั้งสิ้น
ประเทศที่ค้าขายได้เปรียบดุลการค้าสหรัฐฯ ถูกประกาศที่จะใช้มาตรการ“จัดการ”ถ้าไม่เปิดกว้างให้สหรัฐฯขายสินค้าคืนได้มากขึ้น ล่าสุด“ทรัมป์”ก็เปิดสงครามการค้าอย่างเป็นทางการกับ“จีน”มหาอำนาจเศรษฐกิจใหม่ โดยประกาศขึ้นภาษี 25% สินค้าจีนนำเข้าลอตแรกกว่า 800 รายการ มูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์(ราว 1.6ล้านล้านบาท)เริ่มมีผลบังคับใช้ 6 ก.ค.นี้ โดยไม่สนใจที่เศรษฐศาสตร์โลกชี้ว่า สงครามการค้าที่เกิดขึ้น มีสิทธิสร้างความเสียหายต่อเศรษฐกิจทั่วโลก
แน่นอน“จีน”ย่อมไม่นิ่งเฉยให้ถูกกระทำฝ่ายเดียว แต่ได้ตอบโต้ทันที ประกาศขึ้นภาษี 25%สินค้าสหรัฐ 659 รายการมูลค่า 5 หมื่นล้านดอลลาร์เช่นกัน ซึ่งลอตแรก 545 รายการ มูลค่า 3.4 หมื่นล้านดอลลาร์ รวมถึงสินค้าด้านการเกษตร ยานยนต์และสินค้าทางทะเล จะเริ่มมีผล 6 ก.ค.เป็นต้นไป
แค่ประเดิมประกาศสงครามก็มีผลให้เศรษฐกิจทั่วโลกปั่นป่วนไปไม่ใช่น้อย ปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นต่างๆพากันร่วงลงระนาว ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์เตือนรัฐบาลไทยและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรับมือให้ดี เพราะไทยก็ต้องได้รับผลกระทบด้วยแน่นอน เช่น ภาคส่งออกที่ไทยส่งออกวัตถุดิบโดยเฉพาะสินค้าเกษตรอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสินค้าทั้ง 2 ประเทศมหาอำนาจนี้ ขณะที่เศรษฐกิจไทยอาจเผชิญปัญหาสินค้าบางชนิดไหลทะลักเข้ามา เนื่องจากจีนและสหรัฐฯต่างต้องการระบายสินค้าทดแทนส่วนที่ได้รับผลกระทบจากสงครามการค้านี้
ข้อเสนอแนะที่มีมา เช่น ให้ไทยเตรียมพร้อมรับมือสินค้าทุ่มตลาดจากจีนและสหรัฐฯ, ให้ศึกษาผลกระทบที่จะเกิดกับการส่งออกทั้งสินค้าวัตถุดิบ สินค้าขั้นกลาง สินค้าสำเร็จรูป ขณะที่ต้องฉวยจังหวะแสวงหาโอกาสส่งออกไปตลาดจีนและสหรัฐฯ ในสินค้าที่สหรัฐฯและจีนตอบโต้ตั้งกำแพงภาษีต่อกันและเป็นสินค้าที่ไทยมีศักยภาพในการแข่งขันได้ คาดว่า ไทยน่าจะส่งออกสินค้าเกษตรไปยังจีนได้มากขึ้น เป็นต้น
ข้อเสนอเหล่านี้ จึงเป็นการมองสงครามการค้า“จีน-สหรัฐฯ”เป็นทั้งปัญหาที่จะส่งผลกระทบต่อไทย และเป็นทั้งโอกาสสำหรับสินค้าเกษตรบางตัวของไทย ถ้ารู้จักฉกฉวยให้ดี
อย่างไรก็ตามสินค้าเกษตรที่กำลังจะได้รับผลกระทบเฉพาะหน้านี้ตัวหนึ่งที่ต้องเตรียมรับมือให้ดีก็คือ“หมู” ซึ่งสหรัฐฯพยายามกดดันไทยมาตลอดให้เปิดเสรีนำเข้า”หมูมะกัน” แต่ไทยก็ยังต้านไว้ด้วยเรื่องที่เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูสหรัฐมีการใช้“สารเร่งเนื้อแดง”ที่เป็นสิ่งต้องห้ามของไทย
มาตอนนี้“หมูมะกัน”เป็นสินค้าหนึ่งที่ถูกจีนตอบโต้ใน“สงครามการค้า” จึงมีโอกาสสูงมากที่สหรัฐฯจะหันมาเร่งกดดันประเทศต่างๆรวมถึงไทยมากยิ่งขึ้น ให้เปิดนำเข้า“หมูมะกัน” มิเช่นนั้น อาจจะใช้มาตรการรุนแรง“จัดการ”เหมือนที่เปิดสงครามกับจีนได้
ซึ่งมีข่าวว่า ในเดือนก.ค.ที่จะถึงนี้ สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ(ยูเอสทีอาร์)จะเดินทางมาพบหน่วยงานรัฐบาลไทย จี้ให้เร่งเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมู ตามที่เคยหารือกันในการประชุมกรอบความตกลงด้านการค้าและการลงทุนไทย-สหรัฐฯ เมื่อเดือนเม.ย.2561 พร้อมกับขู่ว่า หากไทยไม่ผ่อนปรน ก็มีสิทธิจะถูกสหรัฐตัด“GSP”สิทธิพิเศษทางภาษีศุลกากรสินค้าจำนวนมากได้ เพราะในการต่ออายุ GSP ครั้งที่ผ่านมา ประธานาธิบดี“ทรัมป์”ก็ไม่พอใจมาก
สัญญาณเตือนภัยจึงดังขึ้นอีกแล้ว เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูของไทยต้องออกมาต่อต้านแน่ แล้วภาครัฐเตรียมการอะไรไว้รับมือหรือยัง?
สาโรช บุญแสง