ส่องเกษตร : ถอดบทเรียนปฏิบัติการ‘ถ้ำหลวง’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/352243

449007

ส่องเกษตร : ถอดบทเรียนปฏิบัติการ‘ถ้ำหลวง’

วันพุธ ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

“ปฏิบัติการช่วยเหลือ 13 หมูป่าที่ถ้ำหลวง”จะเสร็จสิ้นสมบูรณ์เป็นทางการจริงๆในวันพฤหัสบดี 19 ก.ค.นี้ ที่ว่าเสร็จสิ้นสมบูรณ์อย่างเป็น“ทางการ” เพราะปฏิบัติการครั้งประวัติศาสตร์ที่โลกจะต้องจดจำไม่มีวันลืมในการช่วยเหลือเด็กๆนักฟุตบอลเยาวชนทีม“หมูป่าอะคาเดมี”พร้อมโค้ชรวม 13 ชีวิตที่ติดอยู่ในถ้ำหลวง- ขุนน้ำนางนอน จ.เชียงราย นานรวม 17 วันนั้นประกอบด้วย 3 ภารกิจหลัก เริ่มด้วยภารกิจค้นหาจนเจอหลังจากติดอยู่ในถ้ำ 10 วัน จากนั้นก็เข้าสู่ภารกิจที่สองที่ยากลำบากแสนสาหัส คือการพาออกจากถ้ำอันสุดหฤโหด ซึ่งทำได้สำเร็จในช่วง 7 วันต่อมา

ภารกิจสุดท้ายคือการส่งทั้ง 13 คนกลับบ้าน คืนสู่อ้อมกอดอันอบอุ่นของพ่อแม่ญาติมิตร หลังพักฟื้นร่างกายอยู่ในโรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ครบ 7 วัน จนแข็งแรงดีไม่พบอาการเจ็บป่วยหรือติดเชื้อใดๆ จาก“ถ้ำหลวง” รวมทั้งมีสภาพจิตใจที่พร้อมกลับสู่ชีวิตปกติอีกครั้ง..ดีเดย์ส่งกลับบ้านก็คือ19 ก.ค.นี้

แม้ภารกิจที่เป็น“ทางการ”จะปิดจ๊อบลงแต่ยังคงมีเรื่องราวอีกมากมายที่ต้องทำต่อเพื่อให้ปฏิบัติการที่ทุ่มเทกันไปมโหฬาร โดยเฉพาะหนึ่งชีวิตที่ต้องสูญเสียไปของ “วีรบุรุษถ้ำหลวงตัวจริง”อย่างจ่าแซม-น.ต.สมาน กุนัน…ได้เกิดผลที่คุ้มค่ามากที่สุด

แน่นอนว่า การที่ 13 ชีวิต รอดปลอดภัยกลับสู่อ้อมกอดครอบครัว ก็ถือเป็นผลลัพธ์ที่คุ้มค่ามากแล้ว แต่ก็ยังสามารถใช้“คุณค่าอันยิ่งใหญ่”จากปฏิบัติการครั้งนี้ ให้เกิดประโยชน์ต่อไปในอนาคตได้อีกมากมาย จึงเป็นเรื่องที่ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จะต้อง“ถอดบทเรียน” เก็บเกี่ยวนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป ไม่ว่าจะในด้านพัฒนาการทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด หรือด้านอื่นๆอีกก็ตาม

อย่างเช่นเรื่องหนึ่งก็คือ “การบริหารจัดการน้ำ” ซึ่งมีข่าวว่า สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.) กำลังถอดบทเรียนกรณี“ถ้ำหลวง” เพื่อนำมาประยุกต์ใช้ในการบริหารจัดการน้ำโดยดึงทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปฏิบัติการเรื่องน้ำที่ถ้ำหลวง มาร่วมดำเนินการเบื้องต้น สทนช.ได้หารือแล้วกับผู้แทนกรมชลประทาน กรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กรมทรัพยากรน้ำ กรมทรัพยากรน้ำบาดาล กรมอุทยานแห่งชาติฯ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เป็นต้น

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสทนช.ระบุว่า จะใช้วิกฤติการถ้ำหลวงฯ ครั้งนี้เป็นโอกาสให้ทุกหน่วยงานด้านน้ำร่วมกันถอดบทเรียนจากข้อมูลที่ทุกหน่วยงานร่วมกันศึกษา นำมาวิเคราะห์แหล่งที่มาของน้ำ ตาน้ำ น้ำที่ซึมเข้าถ้ำรวมกับข้อมูลเชิงเทคนิคทางวิทยาศาสตร์ นำมาสู่มาตรการระบายน้ำถ้ำหลวง-ขุนน้ำนางนอนเพื่อร่วมวางมาตรการแผนบริหารจัดการน้ำจากแหล่งน้ำของวนอุทยาน ทั้งระยะกลางและระยะยาว ทั้งในเขตและนอกเขตพื้นที่โดยจะนำเอาน้ำซึม น้ำซับไปใช้ประโยชน์ในพื้นที่เกษตรการเก็บกักน้ำจากถ้ำ รวมถึงแหล่งน้ำอื่นๆ ในช่วงฤดูฝนให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ช่วงฤดูแล้งได้เต็มศักยภาพ เพื่อนำไปสู่แผนบริหารจัดการน้ำเชิงพื้นที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์บริหารจัดการน้ำของประเทศโดยเร็วต่อไป

ก็ถือเป็น“บทเรียนที่ดี”เรื่องหนึ่งที่สามารถนำไปพัฒนาการบริหารจัดการน้ำในระดับพื้นที่ ให้เกิดประโยชน์ได้หลากหลาย รวมถึงช่วยเรื่อง“การเกษตร”ในพื้นที่ด้วย

อย่างไรก็ตาม ผมเองอยากให้การถอดบทเรียนและการคิดเรื่อง“บริหารน้ำ”นี้ กว้างไกลออกไปยิ่งกว่านี้ ไม่เฉพาะแต่หน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องเท่านั้นเพราะจะเห็นได้ว่าปฏิบัติการที่ถ้ำหลวงโดยเฉพาะเรื่องการระบายน้ำและเบี่ยงทางน้ำไม่ให้เข้าถ้ำนั้น มีทั้งภาควิชาการ,ภาคเอกชน จนถึงระดับชาวบ้านเข้ามามีบทบาทลงมือ“ร่วมด้วยช่วยกัน”มากมาย ไม่ว่าจะเป็นคณะเครื่องสูบน้ำซิ่ง ท่อพญานาค จากหลายจังหวัดภาคกลาง ทั้งนครปฐม,ราชบุรี,เพชรบุรี หรือทีมขุดเจาะน้ำบาดาล นำโดยสมาคมน้ำบาดาลแห่งประเทศไทยที่มีนายสุรทิน ชัยชมพูนายกสมาคมนำทีมลุยอย่างแข็งขัน เป็นต้น

ทีมงานเอกชนมากฝีมือเหล่านี้ แม้อาจจะไม่สูงส่งในเชิงวิชาการถึงขั้นที่จะร่วมวางแผน“บริหารน้ำ”ได้มากมาย แต่พวกเขาก็มีประสบการณ์และมีฝีมือเฉพาะด้านของตัวเอง ที่น่าจะนำมาแชร์บทเรียน เติมเต็มแผนงานบริหารจัดการน้ำให้มีประสิทธิภาพสมบูรณ์ยิ่งขึ้นได้ ทั้งยังจะเป็น“เครือข่าย”ที่สามารถจะขอให้ยกกำลังมาช่วยในภาวะที่จำเป็นต่างๆในอนาคตได้อีกด้วย…ผมว่า เชิญพวกเขามาร่วม“ถอดบทเรียน”เพื่อสร้างโมเดลการบริหารจัดการน้ำที่ดียิ่งขึ้นได้

และนี่ยังถือเป็นแนวทาง“ประชารัฐ”ความร่วมมือของภาครัฐ,เอกชนและภาคประชาชนอย่างที่ท่านนายกฯบิ๊กตู่ใฝ่ฝันอีกด้วย!

สาโรช บุญแสง

Leave a comment