แตกใบอ่อน : จะเกิดอะไร? ถ้าเก็บเงินค่าถุงพลาสติก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/local/356559

807934531

แตกใบอ่อน : จะเกิดอะไร? ถ้าเก็บเงินค่าถุงพลาสติก

วันพฤหัสบดี ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2561, 06.00 น.

12 สิงหาคม 2561 นอกจากจะเป็นวันดีของคนไทยทั้งประเทศ วันเฉลิมพระชนมพรรษาของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และ “วันแม่แห่งชาติ” แล้ว

วันที่ 12 สิงหาคมปีนี้ ยังถือเป็นวันพิเศษที่ “กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช” จะถือเอาเป็น “วันดีเดย์” เริ่มต้นการงดไม่ให้มีการนำ “โฟม” บรรจุอาหารและ “ถุงพลาสติก” เข้าไปในพื้นที่อุทยานแห่งชาติทั่วประเทศอย่างเด็ดขาด ซึ่งแม้หลายคนจะแอบบ่นว่า กรมอุทยานฯเริ่มต้นเรื่องนี้ช้าไปนิด จริงๆควรเริ่มไปตั้งนานแล้ว เพราะปัญหาขยะโฟมและพลาสติก ณ เวลานี้ ต้องถือว่าสถานการณ์มันรุนแรงเสียยิ่งกว่ารุนแรง

ทั้งสัตว์ป่า สัตว์ทะเล พากันมากินเศษขยะ เศษถุงพลาสติกที่ถูกทิ้งอยู่ตามแหล่งธรรมชาติต่างๆ เพราะคิดว่าเป็นอาหาร จนสุดท้ายตัวเองต้องตายไป ดังที่เราเห็นเป็นข่าวออกมาเป็นระยะไม่รู้กี่ร้อยกี่พันตัวแล้ว

ดังนั้นถึงแม้จะมาช้า แต่ก็ยังดีกว่าไม่มา และต้องขอเอาใจช่วยกรมอุทยานแห่งชาติฯให้เดินหน้านโยบายนี้อย่างเข้มข้น และจริงจัง เพราะนี่ไม่เพียงแต่จะเป็นการเพิ่มความปลอดภัยให้กับสัตว์ป่า และดำรงรักษาสิ่งแวดล้อมไว้เท่านั้น แต่ยังถือเป็นการสร้างวินัยให้กับพวกเราคนไทยเริ่มหันมาใส่ใจและใช้ชีวิตที่ “ปลอดพลาสติก” กันมากขึ้น

ไหนๆ ก็พูดถึงเรื่องขยะพลาสติกแล้ว วันนี้เลยอยากพูดต่อในประเด็นเรื่องการ “เก็บเงิน” ค่าถุงพลาสติก ซึ่งเป็นแนวทางที่หลายประเทศทำกันเพื่อลดปัญหาการเกิดขยะถุงพลาสติก และอยากให้ “กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” รวมถึงรัฐบาลนำไปพิจารณาขยายผลให้เป็นรูปธรรมในเมืองไทย โดยวันก่อนมีเพื่อนได้แชร์ข้อมูลมาจากเพจ “ReReef” ซึ่งเป็นข้อมูลเกี่ยวกับโครงการ “CHULA Zero Waste” หรือ “จุฬาปลอดขยะ” ของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จึงขออนุญาตสรุปเนื้อหาบางตอนมาเผยแพร่ต่อ ดังนี้ครับ

โครงการนี้ เขาได้เริ่มต้นรณรงค์ให้คนในมหาวิทยาลัยหันมาใช้ถุงผ้า และงดรับถุงพลาสติกเมื่อซื้อของสินค้าน้อยชิ้นในร้านสะดวกซื้อ 10 แห่งภายในมหาวิทยาลัย ซึ่งแม้การรณรงค์จะได้ผลพอสมควร คือ สามารถลดถุงพลาสติกได้กว่า 40% จากเดือนละประมาณ 130,000 ถุง เหลือที่ประมาณ 70,000 ถุง ภายใน 3 สามเดือน

แต่ปรากฏว่า วิธีที่นำมาใช้แล้วเห็นผลชัดเจนที่สุดและลดจำนวนถุงพลาสติกได้เร็วที่สุด คือ การคิดเงินค่าถุงพลาสติกใบละ 2 บาทแทนการแจกฟรี โดยปรากฏว่า หลังจากเริ่มมีการเก็บค่าถุงพลาสติก สามารถทำให้ปริมาณการใช้ถุงพลาสติกลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ราวๆ 70,000 ถุง เหลือเพียง 16,700 ถุง หรือลดลง 76% ภายในเดือนเดียว หรือถ้าเทียบก่อนหน้าการรณรงค์ก็พบว่า ลดลงไปถึง 87%

ขณะที่หลังจากการมีการนำวิธีเก็บเงินค่าถุงพลาสติกมาใช้ได้ 1 ปี 7 เดือน ปรากฏว่า สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกได้ถึงกว่า 2 ล้านใบ

ไม่ใช่แค่ในจุฬาฯที่เดียวนะครับ จากข้อมูลที่ถูกนำมาเผยแพร่ ยังบอกว่า “ธรรมศาสตร์” เองก็นำวิธีการนี้มาใช้ภายในมหาวิทยาลัยภายใต้โครงการ “No More Single-use” และให้ร้านค้าเก็บเงินค่าถุงพลาสติกในราคาถุงละ 2 บาท ซึ่งผลที่ออกมาก็ไม่ต่างกับจุฬาฯ คือ สามารถลดการใช้ถุงพลาสติกไปได้ถึง 143,500 ถุง หรือลดลงไปถึง 76% ภายในเดือนเดียว และคาดว่าทั้งปีจะสามารถลงได้มากกว่า 1.7 ล้านถุง

ลองคิดดูเถอะครับ นี่แค่ภายในรั้วมหาวิทยาลัยแค่ 2 แห่งยังลดได้ถึงขนาดนี้ ถ้าหากวิธีการนี้ถูกนำไปใช้ในสังคมไทยทั้งประเทศจะเกิดประโยชน์มากแค่ไหน

อาจจะมีบ้างครับที่ช่วงแรกๆ รัฐบาลและหน่วยงานต่างๆ จะโดนบ่น แต่ผมก็ยังเชื่อว่า กระแสสังคมส่วนใหญ่จะสนับสนุน และที่สำคัญคนไทยทุกคนจะสามารถปรับตัวรับกับเรื่องนี้ได้อย่างไม่ยากเย็น

ที่ผ่านมา เราแจกถุงผ้ากันมาเยอะมาแล้วนะครับ

และที่สำคัญ ต้องไม่ลืมว่า รัฐบาลและคสช.ก็เป็นผู้กำหนดให้ปัญหาขยะและของเสียอันตรายเป็น “วาระแห่งชาติ” ดังนั้นก็น่าจะถึงเวลาขยับเรื่องนี้ให้เปรี้ยงปร้างกันเสียที

ย้ำอีกครั้ง..ถุงพลาสติกไม่ควรเป็นของฟรีอีกต่อไปครับ

มะลิลา

Leave a comment