ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/373598

ส่องเกษตร : จากข้าวถึงยางและปาล์ม
สัปดาห์ก่อน ผมเขียนกระตุ้นอีกครั้ง ให้เร่งดูแลปัญหาคุณภาพข้าวหอมมะลิ โดยเฉพาะเรื่อง “ความหอม” ที่น้อยลง กระทั่งทำให้ปีนี้ เราต้องเสียแชมป์ข้าวอร่อยที่สุดในโลกให้ข้าวหอม “อังกอร์” กัมพูชา ทั้งถูกข้าวหอมมะลิ “เวียดนาม” แซงขึ้นที่ 2 จนหอมมะลิไทยตกไปอยู่อันดับ 3 เป็นสัญญาณไม่ดีต่อข้าวระดับพรีเมียมไทย ที่จะถูกเพื่อนบ้านคู่แข่งแย่งตลาดไปได้ โดยเฉพาะตลาดสำคัญอย่างจีน ด้วยข้าวหอมกัมพูชาและเวียดนาม คุณภาพไล่ขึ้นมาตีคู่ ขณะที่ราคาถูกกว่าถึง
ตันละ 200 ดอลลาร์
ก็มีข้อมูลอัพเดทเพิ่มเติมที่นายชูเกียรติ โอภาสวงศ์ นายกกิตติมศักดิ์สมาคมผู้ส่งออกข้าวไทย เปิดเผยว่า ตอนนี้การส่งออก“ข้าวหอม”ของเวียดนามแซงไทยแล้ว! โดยจากช่วง 10 ปีที่แล้ว เวียดนามส่งออกข้าว“พรีเมียม”ระดับแค่หมื่นตัน แต่มาถึงปีนี้ 2561 คาดว่า จะส่งออกทั้งปีได้มากถึง 1.95 ล้านตัน มากกว่าไทยที่ส่งออกข้าว “พรีเมียม” ปีนี้ได้ราว 1.7 ล้านตันเท่านั้น…ส่วนข้าวหอมกัมพูชาที่เคยส่งออกไม่เท่าไหร่ ปีนี้ก็ส่งออกพุ่งสูงถึง 7 แสนตัน!
เป็นสัญญาณ“อันตราย”ต่อตลาดข้าวพรีเมียมไทย ที่กำลังถูกแย่งส่วนแบ่งตลาด“ข้าวพรีเมียม” มากขึ้นแล้ว
ทั้งยังมีคู่แข่งอีกหลายชาติ โดยเฉพาะมหาอำนาจที่เทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยเพียบพร้อมอย่างสหรัฐก็วิจัยได้ 3 พันธุ์ข้าวหอมใหม่จัสมิน“Aroma17”-จัสมิน“CLJ 01”และจัสมิน “Calaroma 201” ที่ล้วนมีคุณภาพและกลิ่นหอมทัดเทียมหอมมะลิไทย แต่ให้ผลผลิตต่อไร่สูงกว่าหลายเท่า หรือจีนเอง ตอนนี้ก็มีข้าวหอมพันธุ์ “อู๋ ชาง (Wu Chang Rice)” ที่ตอบสนองรสนิยมคนจีนแทนหอมมะลิได้ดี เป็นที่ภาคภูมิใจของชาวจีนด้วย…จากเดิม 2 ประเทศนี้เคยเป็นตลาดสำคัญของไทย เวลานี้ไม่เพียงลดนำเข้าลง ซ้ำในอนาคตอาจส่งออกข้าวเหล่านี้มาแข่ง-แย่งตลาดโลกกับข้าวไทยอีกด้วย ดังที่ผมเคยเขียนเล่าไปแล้ว
ถึงจุดนี้ต้องตอกย้ำอีกครั้งว่า แม้ภาพรวมปีนี้ไทยยังครองแชมป์ส่งออกข้าวทุกชนิดสูงถึง 11 ล้านตันและยังมีความต้องการข้าวหอมมะลิไทยสูง ออเดอร์สั่งซื้อต่อเนื่อง จนข้าวหอมมะลิไทยราคาสูงเป็นประวัติการณ์ ส่งผลดีต่อชาวนา…แต่ถ้าชะล่าใจ ไม่เร่งรัดทั้ง“รักษา” และ“ยกระดับ”คุณภาพบวกความหอมของข้าว ให้อยู่ดี ยั่งยืน อนาคตข้าวพรีเมียมไทย อาจ“สลด”ลงได้ในอีกไม่ช้า ก็เป็นได้
ก็ต้องฝากย้ำอีกครั้ง ทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยเฉพาะกรมการข้าว ที่ต้องดูแลให้ดี จนถึงพี่น้องชาวนาไทยเอง ที่ต้องพิถีพิถันในการผลิตอย่างเต็มที่
ว่าจะเขียนเรื่อง“ข้าว”สั้นๆ กลายเป็นยาวไปไม่น้อย เหลือที่ให้เขียนถึงพืชสำคัญอีก 2 ตัวคือยางพาราและปาล์มน้ำมันไม่มากนัก เอาเป็นสรุปๆ เท่าที่มีเนื้อที่ก่อน แล้วค่อยขยายกันต่อสัปดาห์หน้า
ปีนี้ทั้งปาล์มน้ำมันและยางพารา ล้วน“ไม่ดี” โดยเฉพาะราคายางพารานับว่า“จมจ่อม”อย่างยิ่ง
ตั้งแต่นายกฤษฎา บุญราช ขึ้นเป็นรมว.เกษตรฯพร้อมอีก 2 รมช.คนใหม่เดือนธันวาคมปีที่แล้ว ก็ประกาศจะเร่งรัดมาตรการต่างๆ เพื่อดึงราคายางฯที่ตกต่ำมานานให้ขึ้นถึง กก.ละ 60 บาทให้ได้ ตอนแรกประกาศจะเริ่มเห็นผลบ้างภายใน 3 เดือน แต่ผ่านมาเกือบครบปี ราคายางฯก็ยัง“ทรง”กับ“ทรุด” เฉลี่ยแต่ละเดือนๆ อยู่ที่ กก.ละ 42-43 บาท ยิ่งล่าสุดเดือนตุลาคมนี้ปริ่มๆ อยู่ที่ 40 บาทเท่านั้น
มาตรการดูแลเสถียรภาพราคายางฯที่กระทรวงเกษตรฯผลักดันผ่านครม. เพื่อดึงราคาขึ้น จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่คืบหน้าเท่าที่ควร เช่น โครงการส่งเสริมการใช้ยางของหน่วยงานภาครัฐ 4 กระทรวง คือ กระทรวงเกษตรฯ คมนาคม กลาโหม และมหาดไทย เพื่อเพิ่มปริมาณการใช้ในประเทศ ภายใต้โครงการไทยนิยมยั่งยืน ช่วง 9 เดือนแรก(ม.ค.-ก.ย.) เพิ่งรับมอบยางฯแค่ 1,129.10 ตัน ยังไม่รับมอบ 40,607.38 ตัน จากเป้าหมาย 145,500 ตัน…โครงการอื่นๆก็ “อืด”เช่นกัน
ส่วนราคาปาล์มน้ำมันปีนี้ นับว่า ตกต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว ดูจากตัวเลขของสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตรตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมา ราคาผลปาล์มน้ำมันที่ชาวสวนขายได้ เฉลี่ยแต่ละปีอยู่ที่ 4-5 บาทกว่า บางปีที่ต่ำกว่า 4 บาทก็ยังอยู่ในระดับ 3.50 บาทขึ้นไป แต่ปีนี้ตั้งแต่ม.ค.ถึงก.ย.ได้เฉลี่ยแค่กก.ละ 3.02 บาทเท่านั้น!
ทั้งยางฯและปาล์มเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของภาคใต้ พื้นที่อ่อนไหว ผู้คนตื่นตัวทางการเมืองสูง การเคลื่อนไหวประท้วงราคาที่ตกต่ำไม่เคยขาด แต่เพราะยุครัฐบาล คสช.เข้มงวดกฎหมาย จึงขยับไม่ได้มาก แต่สถานการณ์หลังเลือกตั้งปีหน้า ทั้งม็อบยางฯ, ม็อบปาล์ม น่าห่วงแน่! จึงต้องว่ากันต่อสัปดาห์หน้า
สาโรช บุญแสง