ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/local/379585

ส่องเกษตร : พันธุ์หอมมะลิ105 เวอร์ชั่น 2
มาว่ากันต่อจากสัปดาห์ก่อนเรื่อง“คุณภาพข้าวหอมมะลิ” และข้อเรียกร้องปราชญ์เกษตรแห่งแผ่นดิน ที่อยากเห็นการพัฒนาพันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105 เวอร์ชั่น 2 ได้แล้ว!
ย้ำอีกที ปัญหาคุณภาพข้าวหอมมะลิไทยที่ถูกมองว่า “ความหอมลดลง” จนแพ้ข้าวหอมเขมรและข้าวหอมญวนในการประกวดล่าสุด ขนาดนายกฯลุงตู่ต้องสั่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งแก้ไข ขณะที่รมว.เกษตรฯกฤษฎา บุญราชก็สั่ง 3 กรมที่เกี่ยวข้องทันที คือ กรมการข้าวให้วิจัยเรื่อง “พันธุ์ข้าว”, กรมวิชาการเกษตรศึกษาการปลูก และกรมพัฒนาที่ดินดูเรื่องดินที่ใช้ปลูก…
ทางกรมการข้าวโดยรองอธิบดีกฤษณพงศ์ ศรีพงศ์พันธุ์กุล ซึ่งรักษาราชการแทนอธิบดีฯก็ได้ออกมาชี้แจงถึงผลวิจัยของกรมฯยืนยันว่า พันธุกรรมของพันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมล็ดพันธุ์แท้จากกรมการข้าว ไม่มีปัญหาแปรปรวน เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด พิสูจน์แล้วว่า“ยังมีความหอมเหมือนเดิมไม่น้อยลง!” แต่ผลวิจัยการปลูกทั้งภาคเหนือและอีสานที่คุณภาพและความหอมแปรปรวนไปนั้น พบว่า เป็นเพราะปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม, การจัดการในแปลงนาและการจัดการหลังเก็บเกี่ยว
(หมายเหตุ…ข้าวหอมมะลิไทยที่เราส่งออกจนเป็นอันดับ 1 ของโลกมานานหลายสิบปีนี้ คือ“พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105” รองลงมาก็เป็นพันธุ์ กข.15)
อธิบายโดยสรุปได้ว่า“ความหอม”เกิดจากสารในข้าวชื่อ “2-acetyl-1-pyroline”ที่ระเหยได้ ดังนั้นตลอดกระบวนการตั้งแต่การปลูก,ตากแห้ง,การสี,เก็บรักษา จนถึงบรรจุและส่งออก จึงต้องดูแลพิถีพิถัน ควบคุมปัจจัยต่างๆให้ได้“อุณหภูมิ”และสภาพแวดล้อมที่เหมาะสม สำคัญมากๆ!! มิเช่นนั้น สารสำคัญในข้าวตัวนี้จะระเหยหายไป เมื่อถึงมือผู้บริโภคนำไปหุงต้ม ก็จะหอมน้อยหรือไม่หอมเลย
จึงมีข้อแนะนำตั้งแต่ขั้นตอนการปลูกที่ถูกต้องควรทำเช่นไร ต้องใช้เมล็ดพันธุ์คุณภาพเท่านั้น อีกทั้งจะเก็บเกี่ยวอย่างไร จะตากแห้งแบบไหน เก็บรักษาให้ดีได้ไง ฯลฯ ล้วนมีผลต่อปัจจัยความหอมของข้าวทั้งสิ้นแต่ผมคงไม่ลงในรายละเอียด เพราะท่านรักษาการอธิบดีกรมการข้าวก็สั่งให้ศูนย์วิจัยข้าวและศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวในพื้นที่ ไปทำความเข้าใจกับเกษตรกรแล้ว เพื่อปลูกข้าวให้ได้คุณภาพดี
ขอย้ำจากคำอธิบายคุณกฤษณพงศ์ว่า พันธุ์ข้าวขาวดอกมะลิ 105 ยังคงคุณภาพความหอมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ที่ผลผลิตหอมน้อยลง มีปัญหาได้จากสภาพแวดล้อมและการดูแลตั้งแต่ปลูกจนถึงมือผู้บริโภค….อย่างไรก็ตามโลกทุกวันนี้สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไปมาก สภาพดินฟ้าอากาศแปรปรวนจาก“ภาวะโลกร้อน”เกิดภาวะที่ไม่พึงประสงค์มากมาย ดังนั้นแม้พันธุกรรมข้าวหอมมะลิไทยยังดี ยังหอมอยู่เหมือนเดิม แต่ก็มิควรปล่อยให้“หยุดนิ่ง”อยู่เช่นนี้ ควรจะต้องพัฒนาสายพันธุ์ให้มีทั้งคุณภาพและความหอมดี แล้วยังทนทานหรือปรับตัวไปตามสภาวะแวดล้อมอันเลวร้ายได้ หรือที่สำคัญก็คือ พัฒนาพันธุ์ข้าวที่รักษาสารความหอม“2-acetyl-1-pyroline”ได้ดียิ่งขึ้นๆ
จะเรียกว่าเป็น “พันธุ์ข้าวหอมมะลิ 105”เวอร์ชั่น 2 แบบที่ ดร.รณวริทธิ์ ปริยฉัตรตระกูล ผอ.สำนักงานเครือข่ายวิสาหกิจชุมชนเกษตรอินทรีย์อีสาน ผู้เป็น“ปราชญ์เกษตรแห่งแผ่นดิน”กำลังเรียกร้องอยู่ ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น
ทั้งนี้ดร.รณวริทธิ์ให้สัมภาษณ์หลังมีข่าวหอมมะลิไทยพ่ายแพ้การประกวดข้าวดีที่สุดในโลกปี 2018 ให้กับข้าวหอม“มาลี อังกอร์”ว่า ที่ข้าวกัมพูชาได้ครองแชมป์ เพราะความพยายามปรับปรุงสายพันธุ์ข้าวให้บริสุทธิ์ ขยายพื้นที่ปลูกข้าวและพัฒนาคุณภาพสายพันธุ์ รวมทั้งส่งเสริมการสีข้าวให้ได้มาตรฐาน ดังนั้นถ้าไทยไม่สามารถพัฒนาคุณภาพได้ ข้าวไทยก็จะร่วงจากเวทีโลก!
“เราได้ข้าวหอมมะลิพันธุ์ 105 แล้วก็ดีใจ ไม่ได้พัฒนาต่อมาตั้งแต่ปี 2502 เราอยู่กับข้าวหอมมะลิ 105 มานาน ถึงเวลาที่ควรต่อยอดเป็นข้าวหอมมะลิ 105 เวอร์ชั่น 2 พัฒนาคุณภาพให้ดีขึ้น ซึ่งจะทำอย่างไรก็ได้ นักวิทยาศาสตร์ในศูนย์ปฏิบัติการ ศูนย์เก็บรักษาพันธุกรรมข้าว หรือ gene bank น่าจะรู้ อย่าหยุด! เพราะเมื่อหยุดเมื่อไหร่ไทยแพ้ทันที!”
อีกไม่นานคุณกฤษณพงศ์จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 กรมการข้าวอย่างเต็มตัว ถ้าในยุคของท่านสามารถพัฒนาต่อยอดให้เกิด“ข้าวหอมมะลิ 105 เวอร์ชั่น 2”ได้เป็นผลสำเร็จ จะถือเป็นเกียรติยศยิ่งใหญ่ในชีวิตเช่นเดียวกับดร.สุนทร สีหะเนิน อดีตข้าราชการกรมการข้าวที่ถูกจารึกชื่อว่า เป็นผู้มีส่วนสำคัญในการพัฒนาจนเกิดข้าวหอมมะลิ 105 ที่โลกชื่นชมมาเกือบ 60 ปี
ขอเอาใจช่วยท่านว่าที่อธิบดีกรมการข้าวคนใหม่ ทำให้สำเร็จนะครับ
สาโรช บุญแสง