ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/358689

พลิกผืนดินเป็นผืนนา เนรมิต‘นาล้ง’เชิดชูคุณค่าข้าวไทย
เป็นผืนดินท้องมังกรที่มีคุณค่าทางจิตใจมาอย่างยาวนาน“ล้ง 1919” ท่าประวัติศาสตร์ศิลป์ไทย-จีน ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ฉลองการเข้าสู่ 100 ปี ล้ง 1919 นับตั้งแต่ปีคริสตศักราช 1919 ซึ่งนอกเหนือจากการเป็นพื้นที่ประวัติศาสตร์แห่งการค้าไทย-จีน ยังเป็นจุดยุทธศาสตร์การค้าข้าวในอดีต จึงได้จัดงาน “นาล้ง” นิทรรศการข้าวไทย นากลางกรุงริมแม่น้ำเจ้าพระยาขึ้นเพื่อให้ทุกคนได้ตระหนักรู้ความสำคัญของข้าวที่เป็นพืชเกษตรกรรมดั้งเดิมของคนไทย รวมถึงคุณค่าของข้าวไทย โดยเนรมิตผืนนาบนพื้นที่ล้ง 1919 เพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้มาเรียนรู้ รวมทั้งได้มีโอกาสลงดำนาด้วยตนเอง โดยพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันพุธที่ 8 สิงหาคม 2561 เริ่มจาก พิธีทำขวัญข้าว-ไหว้แม่โพสพ เอาฤกษ์เอาชัยที่นาล้ง ซึ่งเป็นความเชื่อของชาวนาไทย ทำพิธีรับขวัญต้นข้าวที่กำลังตั้งท้องก่อนจะออกรวง พิธีดังกล่าวนำโดยหมอขวัญจาก จ.กาญจนบุรี โดยมีสมาชิกครอบครัวหวั่งหลี ร่วมพิธีอย่างอบอุ่น ทั้ง สุจินต์-วุฒิชัย-วิพุธ-วุฒิพล-ดร.ศรัณฐ์ หวั่งหลี ฯลฯ และแขกผู้มีเกียรติอาทิ นวลพรรณ ล่ำซำ, ตวงพร ทรัพย์สาคร, สมเกียรติ มรรคยาธร,เรือเอกภักดี ผ่องใส และ อนุษฐา เชาว์วิศิษฐ์ ฯลฯ มาร่วมเป็นเกียรติในพิธีเปิดงานและชมนาล้งอย่างคับคั่ง รวมถึงทีมฟุตบอลหญิงทีมชาติไทยที่นอกจากมาชมงานแล้วยังถือโอกาสขอพรเจ้าแม่หม่าโจ้ว (คลองสาน) ก่อนเดินทางไปชิงชัยในศึกเอเชี่ยนเกมส์ ที่ประเทศอินโดนีเซีย
รุจิราภรณ์ หวั่งหลี ผู้บริหารโครงการล้ง 1919 กล่าวว่า“ปีนี้ ล้ง 1919 กำลังจะเข้าสู่การฉลอง 100 ปี จึงเกิด นาล้ง แห่งนี้ขึ้น จากความตั้งใจที่เราอยากรื้อฟื้นความทรงจำในอดีตตั้งแต่รุ่นบรรพบุรุษของตระกูลหวั่งหลี ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับ
การค้าขายข้าวและเพื่อให้ประชาชนทั่วไปได้เห็นกระบวนการตั้งแต่ต้นน้ำไปจนถึงปลายน้ำที่เราได้ทานข้าวกัน จึงนำนาข้าวที่เชื่อว่าจะหาชมได้ยากมาจัดแสดงเป็นนิทรรศการข้าวไทย อาทิ การจำลองนาข้าวเขียวชอุ่มท่ามกลางอาคารประวัติศาสตร์การจัดแสดงข้าวสายพันธุ์ต่างๆ จากทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทยนิทรรศการนำเสนอภูมิปัญญาและนวัตกรรมเกี่ยวกับข้าวในรูปแบบอินเตอร์แอ๊กทีฟ ไฮไลต์คือการให้ทุกคนได้มาทดลองการดำนา สัมผัสประสบการณ์ตรงด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก เพราะจะมีสักกี่คนในชีวิตนี้ที่เคยได้ลองดำนาจริงๆ”
งานนี้ มาดามแป้ง-นวลพรรณ ล่ำซำ ไม่พลาด นำทีมแขกขอลุยโคลนลงดำนาด้วยตัวเอง สัมผัสความเป็นชาวนาและเรียนรู้คุณค่าของข้าวแบบใกล้ชิด “หลายคนรู้จักแป้งว่านามสกุลล่ำซำ แต่จริงๆ แล้วนามสกุลเดิมของคุณย่าสงวนล่ำซำ ซึ่งเป็นคุณย่าแท้ๆ ของแป้ง คือ หวั่งหลี เช่นเดียวกับคุณทวดก็นามสกุล หวั่งหลี เพราะฉะนั้น ตระกูลหวั่งหลี ซึ่งดำเนินธุรกิจค้าข้าวและเป็นโรงสีข้าวมายาวนานกว่า 180 ปี เรียกได้ว่าเป็นบรรพบุรุษของแป้งเช่นกัน งานวันนี้พาน้องๆ ฟุตบอลทีมชาติหญิง ซึ่งบ้านของหลายๆ คนเป็นชาวนาอยู่แล้วมาร่วมงาน เป็นกิจกรรมที่สนุกสนานได้ดื่มด่ำกับวีถีชีวิตแบบไทยๆ และยังอดภาคภูมิใจไม่ได้ที่ได้มาปลูกข้าวในผืนดินของบรรพบุรุษ กิจกรรมครั้งนี้จะกระตุ้นให้คนรุ่นใหม่หันมาเรียนรู้วิถีความเป็นไทย เห็นคุณค่าของข้าวไทยมากขึ้นเพราะประเทศไทยถือเป็นประเทศกสิกรรมที่ปลูกข้าวเป็นพืชเศรษฐกิจหลักต่อให้โลกจะหมุนไว เข้าสู่โลกดิจิทัล แต่สุดท้ายการทำนาก็ยังเป็นประเพณีที่สืบทอดกันจากรุ่นสู่รุ่น และเกษตรกรรมก็ยังเป็นธุรกิจหลักของประเทศ
บรรยากาศภายในงานแบ่งออกเป็น 3 โซน คือ โซนแปลงนา ร่วมมือกับแปลงนาเกษตรกรจาก จ.สุพรรณบุรี ให้ทุกคนได้อิ่มเอมในบรรยากาศทุ่งนาเขียวชอุ่ม จัดแสดงนาข้าวทั้ง 3 ระยะอายุ คือ แตกกอ ตั้งท้อง และออกรวง แสดงประติมากรรมหุ่นฟางข้าวรูปพระแม่โพสพ พระแม่ธรณี และพระแม่คงคา 3 เทวีที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อของเกษตรกร รวมทั้งมีกระบือมาร่วมโชว์ให้ได้บรรยากาศท้องนาอย่างเต็มที่,โซนนิทรรศการความรู้และผลิตภัณฑ์จากภูมิภาค จัดแสดงนิทรรศการจากครอบครัวหวั่งหลี บอกเล่าเรื่องราวบนพื้นที่ฮ่วยจุ่งล้ง นิทรรศการจากเครือข่ายชาวนาไทย จัดแสดงข้าวไทยหายาก 100 สายพันธุ์ จ.ร้อยเอ็ด จัดแสดงภูมิปัญญาและนวัตกรรมข้าวหอมมะลิทุ่งกุลา ซึ่งเป็นข้าวหอมมะลิที่ดีที่สุด เสวนาประสบการณ์จาก Young Farmer กลุ่มชาวนารุ่นใหม่ และร่วมสัมผัสการหุงข้าวแบบดั้งเดิม ชิมข้าวไทยหุงหอมๆ หลายสายพันธุ์ รวมทั้งเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ข้าวสายพันธุ์ต่างๆ จากโครงการประชารัฐและเครือข่ายเกษตรกร และโซนการเรียนรู้การดำนา บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ผู้เข้าชมงานได้ดำนาจริงด้วยตัวเอง ที่นอกจากประชาชนทั่วไป ยังมีนักเรียน นิสิต นักศึกษาให้ความสนใจเข้ามาชมตลอดช่วงเวลาจัดแสดง