ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/lady/358556

pet care : อันตรายใกล้ตัวของเจ้าตูบเจ้าเหมียวจอมตะกละ (ตอนที่ 2)
(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว)
@ถ้าพบว่าสุนัขเรากินสิ่งแปลกปลอมเข้าไป(หรือเพียงแต่สงสัยก็ตาม) เราควรทำอย่างไรดี
ในกรณีที่ฉุกเฉิน เช่น สงสัยว่าสิ่งแปลกปลอมอุดตันเข้าไปในส่วนของ “หลอดลม” ก็มีความจำเป็นต้องวิ่งไปโรงพยาบาลสัตว์ที่ใกล้บ้านโดยทันที เพราะถ้าทางเดินหายใจถูกปิดกั้น นับว่าเป็นอันตรายรุนแรงสูงสุด
ส่วนในกรณีที่เป็นเบ็ดตกปลาที่ยังมีสายเบ็ดยื่นออกมาจาก “ปาก” ให้เจ้าของตัดสายเบ็ด (เชือกหรือเอ็น) ให้ยาว ออกมาจากปากประมาณ 1 คืบ เพื่อช่วยสัตวแพทย์ให้ทำการเอาออกได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ว่ากรณีใดก็ตาม เจ้าของควรพามาพบสัตวแพทย์ให้เร็วที่สุด เพราะหากทิ้งไว้นาน จะนำมาซึ่งผลเสียที่รุนแรงได้ เช่น การเกิดหลอดอาหารโป่งพอง หรือฉีกขาดจากการอุดตันนานๆ หรือกระเพาะอาหารหรือลำไส้ทะลุ หากสิ่งแปลกปลอมมีความคม โดยเฉพาะไม้เสียบลูกชิ้นถ้าปล่อยทิ้งไว้นานอาจทะลุผ่านกระเพาะอาหารไปทิ่ม และฝังอยู่ในกลีบตับได้
ข้อที่ต้องคำนึงมากที่สุดคือ งดการให้อาหารหลังประสบเหตุทันที เพราะจะช่วยลดโอกาสการรั่วของอาหารหรือน้ำ ผ่านออกมาจากทางเดินอาหารเจ้าช่องอกหรือช่องท้องได้รวมถึงจะช่วยลดความเสี่ยงจากการสำลักจากการวางยาซึมหรือยาสลบ ในกรณีที่สัตวแพทย์จำเป็นต้องวางยาสลบเพื่อช่วยเหลือหรือแก้ไขอีกด้วย
@สัตวแพทย์จะชี้ชัดได้อย่างไร ว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในตัวสุนัขจริงๆ
อันดับแรกเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด ก็คือโดย“การซักถามและตรวจสอบประวัติ” รวมถึงคำยืนยันของเจ้าของซึ่งเปรียบเสมือนเป็นพยานปากสำคัญ
จากนั้น “การตรวจร่างกาย” โดยการเปิดปากสำรวจในช่องปาก หรือคอส่วนต้น หรืออาจมีการคลำตรวจในช่องท้องร่วมกัน จะช่วยในการตรวจหาได้ผลยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ อาจต้องอาศัยวิธีทางรังสีวิทยา โดยการ“เอกซเรย์” หรือใช้ “เครื่องอัลตร้าซาวนด์” เพื่อช่วยวินิจฉัยโดยหากสิ่งแปลกปลอมเป็นกระดูก ก้อนหิน หรือวัตถุที่มีส่วนประกอบเป็นโลหะ ก็จะสามารถเห็นจากภาพถ่ายทางรังสีวิทยาได้แต่หากเป็นเศษพลาสติก เศษผ้า เศษด้าย เศษไม้ เมล็ดผลไม้เช่น มะม่วง ทุเรียน ก็อาจมีความจำเป็นจะต้องใช้ “เทคนิคพิเศษทางรังสีวิทยา” มาช่วยเพิ่มเติม เช่น การให้สัตว์กลืนสารทึบรังสี หรือที่เราเรียกว่า “กลืนแป้ง” เข้าไป เพื่อช่วยให้สารนั้นเข้าไปเคลือบสิ่งแปลกปลอม ทำให้เรามองเห็นได้จากภาพถ่ายรังสี รวมทั้งถ้ามีการอุดตันก็จะพบได้ว่าแป้งที่กลืนนั้นจะสะสมอยู่บริเวณส่วนหน้าที่มีการอุดตันได้อย่างชัดเจน และหากโชคร้ายที่มีการทะลุเข้าช่องท้องด้วย ก็จะพบได้ว่ามีสารทึบรังสีแพร่กระจายออกมาจากทางเดินอาหารได้อย่างชัดเจน
ในโรงพยาบาลสัตว์ที่มีเครื่องอัลตร้าซาวนด์ ก็สามารถใช้อุปกรณ์นี้ในการช่วยวินิจฉัยได้ โดยการสแกนดูความผิดปกติภายในบริเวณทางเดินอาหารที่สงสัยว่ามีการอุดตันเกิดขึ้นเพิ่มเติม ภายหลังที่วินิจฉัยโดยการเอกซเรย์แล้ว เพื่อเป็นการยืนยันขนาด รูปร่าง และลักษณะของสิ่งแปลกปลอมนั้นๆ
เรื่องราวยังไม่จบแค่นี้นะครับ สัปดาห์หน้า เรามาคุยกันต่อ ถึงวิธีการรักษาและการป้องกันปัญหานี้กันครับ
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ นายสัตวแพทย์ ดร.ทิลดิสร์ รุ่งเรืองกิจไกร
ฝ่ายประชาสัมพันธ์และส่งเสริมภาพลักษณ์องค์กร
คณะสัตวแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
