‘ชมและแชร์’ วิดีโอออนไลน์ ล่อให้คนละเมิดลิขสิทธิ์ ศูนย์วิชาการจุฬาฯ แนะควรบังคับคดีโดยเอกชน #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/lady/471315

‘ชมและแชร์’ วิดีโอออนไลน์ ล่อให้คนละเมิดลิขสิทธิ์ ศูนย์วิชาการจุฬาฯ แนะควรบังคับคดีโดยเอกชน

วันศุกร์ ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2563, 06.00 น.

ปัจจุบันมีการละเมิดผ่านแชร์วิดีโอออนไลน์มากขึ้น และอาชญากรไซเบอร์กลุ่มนี้กำลังสร้างความเสียหายกับอุตสาหกรรมคอนเทนต์และกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ อ้างอิงได้จาก “โครงการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจของการละเมิดลิขสิทธิ์ต่ออุตสาหกรรมของสื่อออนไลน์ในไทยและข้อเสนอแนะเชิงนโยบายและกฎหมาย (COPYRIGHT & VIDEO SHARING PLATFORM หรือ VSP)” โดยศูนย์วิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้เปิดเผยว่า การละเมิดผ่านการแชร์วิดีโอออนไลน์ การไลฟ์และตัดต่อผลงานผู้อื่น การวิจารณ์งานลิขสิทธิ์ยังสุ่มเสี่ยง ที่ร้ายแรงกว่านั้นยังกระทบเศรษฐกิจกว่า 90,000 ล้านบาทฉุดจีดีพีให้ต่ำลง 0.55% อัตราจ้างงานลดลงเฉียด 40,000 อัตรา

ที่ผ่านมา เราคุ้นเคยกับการละเมิดลิขสิทธิ์ อย่างเช่น การจำหน่ายสินค้าที่มีการปลอมแปลงตราสินค้าหรู หรือแบรนด์เนม หรือการนำคาแร็กเตอร์การ์ตูนมาใช้โดยไม่ได้รับอนุญาตตามที่เห็นในข่าว ซึ่งต่างเป็นรูปแบบการละเมิดที่สังเกตได้ง่ายๆ แต่เมื่อพูดถึงการละเมิดลิขสิทธิ์บนโลกออนไลน์แล้วนั้น กลับละเอียดอ่อนและใกล้ตัวจนเราอาจเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการละเมิดอย่างคาดไม่ถึงเลยก็ว่าได้โดยเฉพาะในยุคที่คนไทยใช้อินเตอร์เนตเฉลี่ย 10 ชั่วโมงต่อวัน ซึ่งกว่า 78.5% จากเวลาทั้งหมดถูกใช้เพื่อการรับชมเนื้อหาเพื่อความบันเทิงจากแพลตฟอร์มวิดีโอต่างๆ (VSP : Video-sharing platforms) และแชร์กันได้อย่างง่ายดาย

แม้ว่าปัจจุบันผู้บริโภคจะมีทางเลือกที่รับชมวีดีโอจากแพลตฟอร์มวิดีโอถูกกฎหมาย เช่น Netflix หรือ LINE TVและอีกมากมาย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าก็ยังมีอีกหลายแพลตฟอร์มที่เอื้อให้ผู้ใช้บริการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นได้ง่าย ทั้งโดยเจตนาหรือไม่เจตนา ที่เห็นได้ชัดเจน อย่างการอัพโหลดละคร ซีรี่ส์ รายการทั้งหมดหรือบางตอนลงในช่อง (Channel) หรือแพลตฟอร์มของตนเอง ซึ่งบางครั้งคุณภาพของวีดีโอนั้นคมชัดไม่ต่างจากต้นฉบับ จนผู้บริโภคเข้าใจผิดคิดว่าเป็นแหล่งต้นฉบับ ขณะที่บางส่วนอาจมองข้ามเกิดการเสพสื่อและส่งต่อสื่อละเมิดนั้นต่อไปไม่สิ้นสุด จนผู้ชมอย่างเรากลายเป็นเครื่องมือ “ปั่นยอดวิว” สร้างเม็ดเงินมหาศาลให้กับผู้กระทำผิดละเมิดโดยที่ผู้บริโภคไม่รู้ตัว

ผศ.ดร.พัชรสุทธิ์ สุจริตตานนท์

ผศ.ดร.พัชรสุทธิ์ สุจริตตานนท์ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ร่วมจัดทำโครงการฯ เปิดเผยถึงผลกระทบกับเศรษฐกิจในภาพรวม พบความเสียหายของการละเมิดลิขสิทธิ์บน VSP ต่อเศรษฐกิจไทยในปี 2017 อยู่ระหว่าง 58,575 – 92,519 ล้านบาท รวมทั้งยังกระทบโดยตรงต่ออุตสาหกรรมคอนเทนต์สูงสุดรวมกว่า 44,782 ล้านบาท เพราะแทนที่รายได้จากการรับชมจากช่องทางที่ถูกกฎหมายจะเข้าในระบบอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องโดยตรง กลับตกไปอยู่ในมือผู้ละเมิดลิขสิทธิ์

ทั้งนี้ การหยิบฉกฉวยคอนเทนต์ไปใช้โดยปราศจากความยินยอมจากเจ้าของลิขสิทธิ์ ยังสร้างความเสียหายต่อเนื่องทั้งห่วงโซ่มูลค่าของการผลิตเนื้อหาทั้งวงจร รวมถึงแพลตฟอร์มที่มีการดำเนินการซื้อขายคอนเทนต์อย่างถูกต้อง ส่งผลกระทบกับการจ้างงาน พบอัตราจ้างงานลดลงเป็นจำนวน 24,030 ถึง 37,956 ตำแหน่ง และบั่นทอนแรงจูงใจในการผลิตเนื้อหาที่ผ่านการคิดสร้างสรรค์ จนทำให้หมดใจเลยหมดไฟไปในที่สุด ซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายสำหรับอุตสาหกรรมที่ต้องการ “ใจ” และความคิดสร้างสรรค์ในการขับเคลื่อนเป็นอย่างยิ่ง

เหตุผลสำคัญที่ทำให้การละเมิดลิขสิทธิ์วิดีโอออนไลน์ (VSP) สร้างผลกระทบที่รุนแรง เกิดจาก “ความมักง่าย” ของคนบางกลุ่มที่ต้องการสร้างตัวตนหรือหารายได้โดยไม่ต้องลงทุนด้านความคิด ซึ่งบางส่วนอาจมองว่าความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งที่ไม่มีต้นทุน ขณะที่อีกด้านหนึ่งเป็นเพราะผลงานเหล่านั้นไม่ได้รับการคุ้มครองอย่างจริงจังและการบังคับใช้กฎหมายที่ยังอ่อนแอ ซึ่ง ผศ.ดร.ปิยะบุตร บุญอร่ามเรืองอาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้ร่วมจัดทำโครงการฯ กล่าวถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับการกฎเกณฑ์ละเมิดลิขสิทธิ์ที่ยังคลุมเครือ ไม่ชัดเจน ยากต่อการประเมิน ยกตัวอย่างกรณีการวิพากษ์วิจารณ์หรือรีวิวคลิปวีดีโอที่มีการเผยแพร่ไปแล้ว ตลอดจนการ Cover เพลงก็ยังเป็นเรื่องที่ถกเถียงกันอยู่ว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ขอบเขตของการไม่ละเมิดนั้นอยู่ตรงไหน ควบคู่ไปกับประเด็นความเสียหายจากการไม่บังคับใช้กฎหมายลิขสิทธิ์อย่างเคร่งครัดและชัดเจนพอบน VSP ในประเทศไทย

ผศ.ดร.ปิยะบุตร บุญอร่ามเรือง

เพราะถึงแม้ผู้ให้บริการ VSP หลายๆ รายจะมีมาตรการป้องกัน เช่นการตรวจจับลิขสิทธิ์อัตโนมัติ Content IDเพื่อทำให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถเรียกร้องสิทธิของตนเองผ่านกระบวนการการแจ้งเตือนให้เอาเนื้อหาออก (Notice and Takedown) สามารถทำได้อย่างรวดเร็วแล้ว แต่ต้องยอมรับว่าความเสียหายนั้นๆ ได้เกิดขึ้นแล้ว และไม่อาจเรียกร้องมูลค่าความเสียหายจากการกระทำละเมิดนั้นได้เลย ถ้าหากทำได้ก็จะเป็นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากกระบวนการทางกฎหมาย บังคับคดีโดยรัฐและการมุ่งเน้นไปที่การบังคับใช้กฎหมายอาญาเป็นหลัก นั่นจึงเป็นที่มาของการเสนอให้พิจารณาเพิ่มทางเลือกในการบังคับคดีโดยเอกชน ให้สามารถใช้กระบวนการในลักษณะเดียวกันกับการแจ้งเตือนให้เอาเนื้อหาออก (notice &takedown) โดยเฉพาะการแจ้งเตือนไปยังVSP หรือเจ้าของแพลตฟอร์มนั้นๆ ที่ควบคุมดูแลเนื้อหาโดยตรง เพื่อกระตุ้นให้ VSP มีความรับผิดชอบที่จะต้องเอาเนื้อหาที่ละเมิดลิขสิทธิ์ออก ภายหลังถูกแจ้งว่าละเมิดลิขสิทธิ์ดังกล่าว (editorial control)ตลอดจนกระตุ้นมาตรการฟ้องร้องดำเนินคดีระหว่างเอกชนกับเอกชนให้เกิดขึ้นจริงในประเทศไทย

“วิธีการบังคับคดีโดยเอกชนนั้น จะช่วยให้เจ้าของลิขสิทธิ์ไม่จำเป็นต้องไปดำเนินการบังคับคดีโดยรัฐอีกต่อไป นับเป็นการสร้างระบบนิเวศในการผลิตคอนเทนต์และเผยแพร่ที่ปลอดภัยและสมบูรณ์ทั้งยังสร้างบรรทัดฐานในการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ลดภาระทั้งเจ้าของลิขสิทธิ์ และการจัดการดูแลของเจ้าหน้าที่ตำรวจ นอกจากนั้นภาครัฐก็ควรออกมาตรการสนับสนุนผู้ผลิตคอนเทนต์ไทย ทั้งในแง่ของภาษีและการลงทุนที่มีประสิทธิภาพอย่างเร็วที่สุด เพื่อยับยั้งการกระทำผิดด้านละเมิดลิขสิทธิ์ในประเทศ” ผศ.ดร.ปิยะบุตร กล่าวทิ้งท้าย

Leave a comment